วันเสาร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2559

แทร็ก 11/19 (1)


พระอาจารย์
11/19 (560622C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
22 มิถุนายน 2556
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ  :  แทร็กนี้แบ่งโพสต์เป็น  2  ช่วงบทความ)

พระอาจารย์ –  ทำความรู้ ทำความแจ้งอยู่ภายในตัวเอง ... ตัว..คือตัว ตัวคือกาย...เป็นที่รวมของขันธ์ทั้งห้า  ...ถ้าไม่มีกายก็ไม่มีห้า ถ้าไม่มีกายก็ไม่มีนามทั้งสี่ ถ้าไม่มีกายก็ไม่เป็นคน หรือไม่ได้เป็นคน

ชาตินี้ ปัจจุบันนี้ ภพนี้...มันเป็นคน ...ก็ต้องเอากายนี่เป็นเครื่องหมายของความเป็นคน 

ถ้าไม่มีกายนี่ก็ไม่เป็นคน ...เป็นผี เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นพรหม เป็นเทวบุตร เทพธิดา เป็นอรูปพรหม อะไรพวกนี้ ไม่มีกาย ไม่มีกายมหาภูตรูป

ตอนนี้เราเป็นคน มีกาย จะไปทิ้งกายยังไง ...ทิ้งกายก็เหมือนทิ้งขันธ์ห้านั่นแหละ ทิ้งแบบโง่ๆ ทิ้งแบบละเลย ทิ้งแบบไม่ใส่ใจ ไม่สนใจ ไม่ดู ไม่สำเหนียก ไม่แยบคาย ในภพและชาติปัจจุบันที่เป็นคน

ผลผลิตของความโง่ในอดีต มันผลิตไว้ให้เป็นคน ก็ต้องทนอยู่กับมัน แล้วก็เรียนรู้มัน ...เพื่อจะไม่ต้องให้ได้มันมาอีก มาเป็นคนอีก  

ถ้ามันไม่เข้าใจตรงนี้ มันก็จะมาเป็นคนอีก ... เพราะมันยินดีพอใจ เพราะมันเข้าใจว่าเป็นของมัน มันก็จะมาเป็นคนอยู่ร่ำไปน่ะแหละ

แต่ถ้ามันเข้าใจว่าไอ้ความเป็นคนนี่มันเป็นแค่ดินน้ำไฟลม มันเป็นแค่สสารพลังงานรวมกันเป็นกลุ่ม  มันก็ไม่เห็นสาระในการที่จะเอามารวมตัวกันอีกทำไม มีประโยชน์อะไร ...มีแต่ทุกข์

การก่อรวมกัน การปรุงแต่งร่วมกัน ในรูปในนามนี่ ที่เกิดมาเป็นคนนี่...มีแต่ความเป็นทุกข์ มีแต่ความอึดอัดคับข้อง มีแต่ความแปรปรวนเปลี่ยนแปลง หาความแน่นอนไม่ได้ มีแต่ความเสื่อมไปทุกขณะเวลา

นี่ มันเป็นของดีรึไง มันเป็นของน่าเข้ามาครอบครองอีกมั้ย ...นี่ มันเบื่อ เกิดความเบื่อหน่ายในขันธ์ ในการเกิดมาเป็นคน ในการที่ได้รูปขันธ์นามขันธ์มาเป็นที่อยู่ที่อาศัย

เหมือนกับได้บ้านหลังหนึ่งที่มันสับปะรังเคน่ะ หลังคาก็ทะลุ น้ำก็รั่ว ฝาก็ไม่มี เพดานก็โหว่ ...มันจะเห็นกายนี่ไม่น่าอยู่หรอก ไม่น่าเป็นสุขหรอก เกิดกี่ครั้งๆๆๆ ก็ได้บ้านสับปะรังเคนี้มา

แต่ด้วยอุปาทานขันธ์ ด้วยอุปาทานจิตนั่นแหละ มันเข้าใจว่าบ้านนี่เป็นตึกรโหฐาน มันสร้างของมันขึ้นมาอย่างนั้น น่าอยู่น่าอาศัย แล้วมาอวดกัน แต่งหน้าทาบ้าบอเข้าไป อวดกันว่าบ้านชั้นเป็นอย่างนี้ 

พอมันมาดูบ้านตามความเป็นจริง กายตามความเป็นจริง ก็จะเห็นมันเป็นบ้านสับปะรังเค...เหมือนกันหมดแหละ ทะลุอยู่หกจุด ตา หู จมูก ลิ้น กาย 

อายตนะเหล่านี้มันเป็นช่อง...อะไรเข้าก็ขี้ อะไรออกก็ขี้ ใช่ป่าว ...ขี้หู ขี้ตา ขี้มูก มันขี้ทั้งนั้น ขี้เหงื่อขี้ไคล  เห็นมั้ย อะไรที่มันเข้านอกออกในนี่เป็นขี้หมดน่ะ

นี่ บ้านสับปะรังเคมันเต็มไปด้วยปฏิกูล เต็มไปด้วยขี้น่ะ ...ก็เอารองพื้นมาปะ ปะขี้ไม่ให้ขี้มันออก (เสียงโยมที่เป็นผู้หญิงหัวเราะกัน) แล้วก็ให้มันกระจ่าง ไวท์เทนนิ่ง ให้มันใส ทาหน้าทาตาสักคิ้ว 

เขาเรียกว่าหลอกตัวเองน่ะ สร้างบ้าน ว่าบ้านตัวเองเป็นบ้านที่แข็งแรงสวยงาม ฉาบสีสันแบบ หูย เหมือนในแค็ตตาล็อกเลย ...แล้วก็เชื่อจริงๆ จังๆ ว่ากายเรา กายเราๆ คือตัวนี้

พอหันมาดูกันจริงๆ ...เราถึงบอกว่าพระพุทธเจ้าสอนความเป็นจริงนะ ท่านไม่เคยสอนให้ไปอยู่กับความหลงงมงาย ที่จิตเราหรือตัวเรามันสร้างภาพขึ้นมาหลอกตัวเอง หลอกคนอื่น นี่ หลอกตัวเองไม่พอ

หลอกตัวเองยังไง ...นั่งทาปากทาคิ้วเสร็จ ดูกระจก ยิ้ม อู้ย สวยๆๆ ...ถ้าออกไปแล้วคนอื่นเห็นว่าสวยตาม นี่หลอกคนอื่น แล้วก็ช่วยฝากบอกคนอื่นด้วยนะ ให้เขารู้ว่าฉันสวย อะไรอย่างนี้ 

นี่ มันพอกพูนความโง่เขลา ...เพราะนั้นไอ้การที่ศีล..ที่ท่านห้ามแต่งหน้าทาปากอะไรนี่ เพื่อขัดเกลาไอ้รูปลักษณ์หยาบๆ นี่ ...ที่มันหลงรูป 

พระนี่ วินัยของพระนี่ท่านห้ามดูกระจกนะ ท่านไม่ให้มีกระจก ท่านไม่ให้ส่องกระจก ...ทำไมล่ะ ..มันจะได้ไม่หลงรูป มันจะได้ไม่ติดสัญญารูปของตัวกาย

แต่สมัยนี้มันหนีไม่ได้น่ะ มันไปไหนก็เจอแต่กระจก นี่ พกรึเปล่า มีกระจกมั้ย ..สมัยโบราณมันไม่มีกระจก เวลาจะโกนหัวโกนผม ยังต้องไปชะโงกดูในน้ำ 

เพราะว่ามนุษย์นี่มันติดรูปมาก ตื่นนอนดูกระจกก่อน เข้าห้องน้ำแปรงฟันยังดูกระจก ...มันหลง มันติด มันเลยจำแนบแน่น จนเป็นมโนสัญญเจตนา มันอยู่ในรากเหง้าของสัญญเจตนาเลย 

ไม่ได้ตั้งใจจะจำ มันก็อยู่ตรงนั้นน่ะ ...ละไม่ได้ เลิกไม่ได้ ถอนไม่ได้เลยในความเป็นหน้าตาตัวตนรูปลักษณ์ของกาย รูปลักษณ์ของเรา ...มันติด มันหลง...หลงรูป รูปกาย

แต่บอกแล้วไง เมื่อใดน่ะ...ที่มันลงมาหยั่งรู้ดูเห็นในกายที่ก้อนธาตุ ในกายที่เป็นก้อนเวทนา ในกายที่เป็นก้อนผัสสะ ในกายที่เป็นก้อนความรู้สึก 

มันจะเห็นบ้านนี้ปุๆ ปะๆ ...กายนี้ปุๆ ปะๆ ไม่เชื่อมต่อเป็นชิ้นเป็นอัน ทะลุ แหว่ง กร่อน ...มันไม่เชื่อม เชื่อมกันไม่สนิท เดี๋ยวตรงนั้น เดี๋ยวก็ย้ายไปตรงโน้น เดี๋ยวก็ย้ายมาตรงนี้ 

นี่ เขาเรียกว่ากายแปรปรวนไปมา ความรู้สึกในกายแปรปรวนไปมา แล้วก็มากองรวมรู้เป็นกองใหญ่ ...แต่จริงแล้วมันก็เป็นกองเล็กกองน้อยกองย่อยน่ะ...ขันธ์ 

คำว่า "ขันธ์" นี่แปลว่ากอง ...กายก็เป็นกอง เดี๋ยวก็กองเจ็บ เดี๋ยวก็กองตึง เดี๋ยวก็เผยอวูบวาบ เดี๋ยวก็เป็นกองลม เดี๋ยวก็เป็นกองอุ่น เดี๋ยวก็เป็นกองปวดเมื่อย ...มันเปลี่ยนย้ายไปมาสลับกัน

นี่ความเป็นจริง บ้านที่แท้จริง หรือว่ากายที่แท้จริง ที่พระพุทธเจ้าต้องการให้เราหันมามอง พระอริยสงฆ์ทั้งหลายก็ต้องการให้ทุกคนหันมามองกายตัวเอง 

เพื่อมันจะได้ออกจากความหลงติดในรูปกาย ...ไม่งั้นมันจะหลับตาก็เห็นรูปตัวเองนั่ง แล้วก็มีสีสันด้วยนะ มีวรรณะสีสันทรวดทรง ...นี่มันเป็นรูปทั้งนั้น มันเป็นรูปสัญญา รูปนิมิต

เพราะนั้นถึงบอกว่า ในเวลารูปนั่ง อิริยาบถใหญ่...นั่งนี่  มันมีความรู้สึกในอิริยาบถนั้น ...ก็หยั่งลงไป ให้มันทะลุลงไป...ทะลุรูปลงไป 

มันก็จะเห็นเนื้อแท้ของกายแท้ๆ ที่เป็นแค่...ก้อนความรู้สึกเล็กน้อยๆ วูบๆ วาบๆ ยุบยิบๆ หมุนเวียนสลับไปมา ท่านเรียกว่าอิริยาบถย่อยในกาย

นี่ถ้ามันวนเวียนอยู่ในอิริยาบถย่อย...อิริยาบถใหญ่ในกายนี่ มันจะเปิดเผยความเป็นจริงของกายขึ้น...ทีละเล็กทีละน้อย 

จากที่มันถูกปิดบัง...ด้วยความเห็น ด้วยรูปลักษณ์ ด้วยสัญญา ด้วยความจำ ด้วยบัญญัติ ด้วยความเชื่อ 

ซึ่งความจริง ความเป็นจริงนี่ มันอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลหรอก...เพราะมันอยู่ตรงนี้ ...ใครมาถามเราว่าภาวนายังไง เราก็ไล่ให้กลับไปดูตัวเองนั่นแหละ ...ไม่มีวิธีภาวนาอย่างอื่นเลย 

ไม่มีหนทางอื่นเลย...ที่จะเล็ดลอดออกจากขันธ์และโลกได้ด้วยการไม่กลับมาดูตัวเอง ดูกายตัวเองเป็นบาทฐาน ...แล้วท่ามกลางกายใจนี่แหละ มันจะเห็นอาการของนามผุดโผล่ขึ้นมาเป็นระยะ

ปัญหามันอยู่ตรงนี้ ...ตรงที่ไม่เท่าทันอาการของนามธรรม  คิดบ้าง จำบ้าง อารมณ์บ้าง พวกนี้คือนามธรรมที่มันจะผุดโผล่อยู่ท่ามกลางนั่งกับรู้..รู้กับนั่ง ....แล้วมันจะมาดึงความสนใจออกไป 

มันจะมาดึง..โดยสร้างความเป็นเราไปกับมันขึ้นมา ...ตรงนี้ที่ว่าสติน้อย ปัญญาอ่อน สมาธิไม่แข็งไม่มั่น ...มันจึงต้องฝึก จนมันตั้งมั่นอยู่จำเพาะกายจำเพาะใจจริงๆ เสียก่อน  

อาการนามก็เป็นแต่ว่าสักแต่ผ่านไปและผ่านมา ไม่มีเราในนั้น ไม่ไปสร้างเป็นเราเป็นตัวเป็นตน ของเราของเขาในนั้น ...มันก็เป็นแค่อะไรๆ ผ่านไปผ่านมาเท่านั้น

เพื่ออะไร ...เพื่อมาทำความแจ้งในเราปัจจุบัน..ที่กาย ...ถ้าเราปัจจุบันที่กายมันจบแล้ว ไอ้เราในความคิด ไอ้เราในอดีต ไอ้เราในอนาคต ไม่ต้องไปพูดถึง ไม่มีความหมายเลย  

ความคิดก็เป็นแค่สักแต่ว่าอะไรลอยไปลอยมา อารมณ์ก็เป็นสักแต่ว่าอารมณ์..วูบวาบไปมา แค่นั้นเอง ไม่มีสาระอะไร ...นี่ เรื่องนามก็เป็นเรื่องง่ายไปโดยปริยาย

แต่ตอนนี้ยาก ...เพราะมันมีความเป็นเราแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ มีชีวิตจิตใจอยู่ในความคิด มีชีวิตจิตใจอยู่ในเรื่องราวในความคิด มีชีวิตจิตใจอยู่ในการกระทำของบุคคลที่จำได้หมายรู้ 

มันมีชีวิต มันมีเลือดเนื้ออยู่ในนั้นเลย มันมีความเป็นบุคคลเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์เลย  มันถึงมีสุขมีทุกข์เมื่อคิด มันถึงมีสุขมีทุกข์เมื่อจำได้...ในการกระทำคำพูดของตัวเองและของคนอื่น 

นีี่ มันกลายเป็นของที่มีชีวิตขึ้นมาได้อย่างไร มันไม่เป็นของที่เป็นแค่สักแต่ว่าคิด สักแต่ว่าจำเท่านั้น ...เพราะนั้น ถ้าไม่ได้เป็นปัญญาแบบพระพาหิยะ ...ไม่มีทางหรอก 

รู้จักพระพาหิยะมั้ย ...เจอพระพุทธเจ้า ขอธรรมะที่สั้นที่ตรงที่สุด  พระพุทธเจ้าบอกว่า เห็นสักแต่ว่าเห็น ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน จำสักแต่ว่าจำ รู้สักแต่ว่ารู้ ...สำเร็จเลย ตรงนั้นน่ะ นี่ พระพาหิยะ

จึงได้เป็นเอตทัคคะในการที่ว่าบรรลุโดยฉับพลัน นี่ แค่ฟังคำพระพุทธเจ้าว่า เห็นสักแต่ว่าเห็น ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน จำสักแต่ว่าจำ รู้สักแต่ว่ารู้ แค่เนี้ย สำเร็จเลย ...นั่น ปัญญาขั้นสูงสุดที่ท่านบำเพ็ญไว้

เพราะนั้นกว่าที่พวกเราจะเห็นสักแต่ว่าได้นี่ ไม่ใช่ของเล็กน้อย ไม่ใช่ของง่ายๆ ...มันต้องมาเริ่มต้นจาก...เนี่ย กายเราๆ ในปัจจุบันเสียก่อน 

ที่ว่าเรานั่ง เรายืน เราเดินนี่แหละ ไอ้ตรงนี้...ต้องมาแก้ตรงนี้ก่อน ...มันจึงจะสักแต่ว่าจิต สักแต่ว่าธรรมได้ มันจึงจะสักแต่ว่ากายได้

เพราะนั้นไอ้ที่พูดว่า "เออ ไม่มีอะไรหรอก ผมน่ะคิดก็สักแต่ว่าคิด" ...ไอ้นั่นพูดแบบแอบอ้าง ง่ายเกินไป ใครก็พูดได้ “ผมไม่ได้คิดอะไร” เอ้า ไม่คิดอะไรได้ไง ก็เห็นๆ อยู่พูดอะไร นี่ จิตมันจะเป็นอย่างนั้น 

แล้วมันเคยทำมาอย่างคร่ำเคร่ง ปัญญาแบบอุกฤษฎ์รึเปล่า ...ละวาง เพิกถอนความเป็นบุคคลในจิต ความเป็นบุคคลในสัญญา...อย่างอุกฤษฎ์มั้ย 

ละกันแบบเห็นมันตายต่อหน้าต่อตา...ตายดับน่ะ ไม่ใช่ตายจริงนะ ...ตายดับ ตายจากความเป็นบุคคลด้วยการดับไป ไร้สิ้นซึ่งความเป็นสัตว์และบุคคลในอาการนั้นๆ 

แล้วก็มาเห็นกายปัจจุบันตายดับๆ...ในอิริยาบถใหญ่ อิริยาบถย่อย ...ไร้สิ้นซึ่งความเป็นบุคคล ไม่เห็นมีว่า "เรา" ตายไปพร้อมกับมัน

เพราะว่ากายก็ตายเกิดตายดับอยู่ตลอดเวลา ทำไม "เรา" ยังมีชีวิตอยู่ได้ ...ทำไมกาย ทำไมขันธ์ยังดำรงชีวิตอยู่ได้ 

ทำไมถึงกลัว "เรา" ตายนักหนา ...ไม่มี "เรา" ตาย  กายมันตายเกิดตายดับอยู่ทุกขณะจิต ทำไมยังดำรงอยู่ได้ล่ะ...ขันธ์นี่

นี่ มันก็เริ่มเห็นว่า "เรา" นี่ไม่มีคุณค่า ไม่ได้เกี่ยวพันอะไรกับขันธ์โดยสิ้นเชิงเลย ไม่มีประโยชน์ ไม่มีสาระโดยสิ้นเชิง 

ต่อให้ไม่มี “เรา” ในขันธ์ ...ขันธ์ก็ยังดำรงอยู่ได้ ไปมาหาสู่ทำงานทำการได้ พูดคุยได้


(ต่อแทร็ก 11/19  ช่วง 2)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น