วันพุธที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2559

แทร็ก 11/21 (2)


พระอาจารย์
11/21 (560722B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
22 กรกฎาคม 2556
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 11/21  ช่วง 1

พระอาจารย์ –  ต่อไปมันก็จะเห็นเองว่า...อย่างนี้ การอยู่กับสภาพธรรมล้อมรอบอย่างนี้  ตรงนี้ที่เรียกว่าสำรวม เป็นกลาง ...แล้วตรงนี้ ลึกๆ ต่อไปมันจะเห็นด้วยตัวของมันเอง

เมื่ออยู่ในสภาวะอย่างนี้ สภาพอย่างนี้...ทุกข์ภายในไม่เกิด ทุกข์อดีตก็ไม่เกิด ทุกข์อนาคตก็ไม่เกิด ทุกข์ปัจจุบันก็ไม่เกิด ...ซึ่งเหล่านั้นน่ะคือทุกข์อุปาทานทั้งสิ้น...มันไม่เกิด

แต่เมื่อใดที่ยื่นมือยื่นไม้ออกไปเจ้ากี้เจ้าการกับ..ทั้งเรื่องของตัวขันธ์เอง ทั้งเรื่องของตัวเราเอง ทั้งเรื่องที่เนื่องด้วยคนอื่นนี่ ...จะเห็นเลยว่ามันจะเป็นการสร้างทุกข์

ทั้งในปัจจุบัน  ทั้งในอดีต...คือสัญญา  ทั้งในอนาคต...คือทุกข์ล่วงหน้าเลย

สุดท้ายเมื่อมันเห็นความเป็นทุกข์ภายในนี่มันเบาบางหรือน้อยลง ...ตัวนี้จะเป็นตัวตัดสินว่าถูกหรือผิด ไม่ใช่ความคุ้นเคยแต่เก่าหรือไม่เคยคุ้นเคยมาก่อนเป็นตัววัด

แต่จะเอาตัวที่ว่า...มันอยู่อย่างนี้แล้วนี่ ทุกข์ภายในมันน้อยลงหรือเปล่า...เอาตัวนี้เป็นตัววัด ...ไม่เอาทุกข์เพราะที่กังวลว่าเขาจะอย่างนั้นอย่างนี้มาเป็นตัววัด

ดูดีๆ ...มันก็จะแยกแยะออกว่า เมื่ออยู่อย่างนี้ อยู่ด้วยภาวะที่ปล่อยวาง รามือจากทุกสิ่ง แล้วมันเบา...ข้างในมันเบา 

เบาจากความกังวล เบาจากความกลัว เบาจากความดีใจ-เสียใจ...ในความจะเป็นหรือไม่เป็นอะไรกับสิ่งนั้นสิ่งนี้ ...มันไม่มีวิตกกังวลอยู่ภายใน

นี่ ทุกข์ลึกๆ มันก็ไม่มี ...มันก็อยู่ไปแบบ...ข้างในก็รู้เปล่าๆ ผ่านไปผ่านมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ...สภาวะอย่างนี้เรียกว่าดำรงอยู่ด้วยความเป็นกลาง หรือมัชฌิมาปฏิปทา...ก็ดำรงอยู่อย่างนี้

แรกๆ มันเหมือนกับไม่คุ้นเคย มันก็ยังไม่กล้าที่จะอยู่อย่างนี้ อยู่แบบนี้ ...อยู่ไปเรื่อยๆ แล้วมันก็จะคุ้นเคย แล้วก็จะเริ่มกล้า แล้วก็จะเริ่มเข้าใจ

แล้วก็จะเริ่มชัดเจนว่า...นี่แหละ ถ้าอยู่อย่างนี้ไปได้ต่อเนื่องตลอดเวลานี่ ที่สุดคือ...ทุกข์ไม่เกิดขึ้นเลย ...มันก็จะชัดเจนในตัวของมันเองขึ้นไป

แต่แรกๆ มันจะต้องอดทน นะ  จนกว่ามันจะสร้างความคุ้นเคยขึ้นมา...ในองค์มรรค ...เพราะนั้นผลมันก็จะเกิดขึ้นให้เป็นเครื่องยืนยัน

ว่าอยู่อย่างนี้ อยู่แบบนี้แล้วนี่ ทุกข์มันน้อยลงกว่าเดิม  ทุกข์แบบเดิมเกิดขึ้นไม่ได้ ทุกข์เพราะเขาเพราะเรานี่ไม่มี ...แต่ถ้าเข้าไปเมื่อไหร่ มันจะมีทุกข์เพราะเขาเพราะเรา


โยม –  ท่านครับ ไม่ทราบว่าเกี่ยวกันรึเปล่า คือใจมันเป็นทางง่ายขึ้นครับ

พระอาจารย์ –  อือ มันก็มีความจาโค สละวางภายใน ความหวงแหน...อะไรที่เป็นของเรา แม้แต่เป็นวัตถุข้าวของ แม้แต่เป็นอารมณ์ แม้แต่เป็นความที่จับต้องไม่ได้ภายใน

มันก็กล้าที่จะสละออก วางออก โดยไม่อาลัยใยดี ...มันให้อภัยได้หมดทุกสิ่ง อภัยแม้กระทั่งฟ้าฝนที่มันไม่ตก อภัยให้กับแดดที่มันร้อนเกินไป ...อภัย

ใจก็ไม่เอา มันก็ให้อภัยอยู่ตลอดเวลา มันก็ละ..เหมือนละ ... การอภัย...ให้ทาน อภัยทาน  อภัยทานนี่พระพุทธเจ้าว่าเป็นทานสูงสุด ...จิตมันก็เกิดการอภัยอยู่ตลอดเวลา

ละออก ไม่เอาธุระ ไม่ตำหนิติเตียน ไม่ถือโทษถือโกรธ ไม่เอาคุณไม่เอาโทษกับสิ่งนั้นๆ ...นั่นน่ะ มันอยู่ด้วยการให้อภัย สละออก สละความถูกความผิดออก

มันก็อภัยให้ได้ ทั้งที่ว่ามันเคยว่าผิดอย่างยิ่ง ...แม้ฝนที่มาตก กำลังจะตากผ้าดันฝนตก ก็อภัยกับฝนได้  นี่ก็คืออภัยทานนะ ...ถ้ามันไม่ให้อภัย มันจะโกรธ หงุดหงิด นี่ เห็นมั้ย

เพราะนั้นตัวอภัยทาน เป็นการทานภายใน ...แล้วมันกล้าที่จะอภัยกับทุกสิ่ง มันอภัยกับทุกสิ่งที่มันเกิดขึ้น...ทั้งที่เคยดั่งใจเรา ทั้งที่ไม่ดั่งใจเราก็ตาม

พอไอ้ความเป็นเรามันน้อยลง มันสามารถให้อภัยได้ง่ายขึ้น ...ไม่เอาชนะ ไม่เอาธุระ ไม่เป็นเรื่อง ไม่เป็นภาระแล้ว

อภัยไปเรื่อยๆ ปุ๊บ ...ต่อไปมันจะเกิดความรู้สึกเคารพต่อธรรม นอบน้อมต่อธรรมที่ปรากฏทุกสิ่ง นอบน้อมในการกระทำคำพูดของบุคคล...ทั้งที่เคยรัก ทั้งที่เคยชัง

ก็รับรู้ด้วยภาวะที่นอบน้อมเคารพ ...มันไม่อหังการ มันไม่อวดดี มันไม่อวดเก่ง

ถ้ามันไม่มีเราแล้วอนาคตอย่างนี้นี่จะเกิดขึ้นหมด ...มันจะอยู่กับธรรมด้วยความคุ้นเคย อยู่กับธรรมด้วยการสมยอม ยอมรับ นอบน้อมต่อการปรากฏขึ้นของธรรมนั้นๆ

ทุกอย่างจะเป็นไปอย่างนี้ เป็นไปเพื่อความสละละวาง ไม่เอามาเป็นเรื่อง...ทั้งรักทั้งชัง 

รักก็ไม่เอา ชังก็ไม่เอา  บุญก็ไม่เอา บาปก็ไม่เอา  ทุกข์ก็ไม่เอา สุขก็ไม่เอา  คุณก็ไม่เอา โทษก็ไม่เอา  ดีก็ไม่เอา ไม่ดีก็ไม่เอา ...ไม่เอาอะไรสักอย่าง สละหมด 

จนเกิดความหมดจดอยู่ภายใน...แล้วมันจะรู้จักคำว่าหมดจดภายใน ...ใจจะมีความหมดจด ใจจึงมีความบริสุทธิ์ ใจจึงมีความเกลี้ยงเกลา เบา บาง

คำว่าเบาบาง นี่คือเบาบางจากกิเลสตัวเรา ...ตัวตนของเราภายในมันก็เบาบางลงไป ใจมันก็เกลี้ยงเกลา สว่าง สะอาด บริสุทธิ์อยู่ภายใน

ไปไหนก็ได้ มาไหนก็ได้  ไม่ไปไหนก็ได้ ไม่มาไหนก็ได้  อะไรเกิดก็ได้ อะไรไม่เกิดก็ได้  อะไรดับก็ได้ อะไรไม่ดับก็ได้ ...ใจก็สว่างอย่างนั้น

มันบางเบาจากความเป็นตัวเราในทุกสิ่ง...ทั้งที่เกิด ทั้งที่ยังไม่เกิด  ทั้งที่จะเกิด ทั้งที่จะไม่เกิด...ได้หมด ไม่สนใจ ...ใจก็ดำรงคงความบริสุทธิ์

ไม่ขึ้นไม่ลงไปกับโลก ไม่ขึ้นไม่ลงไปกับขันธ์ ไม่ขึ้นไม่ลงไปกับภูมิประเทศ ไม่ขึ้นไม่ลงไปกับกิเลสของผู้อื่น ไม่ขึ้นไม่ลงไปกับความคิดความเห็นของผู้อื่น

มันก็อยู่ของมันอย่างนั้นน่ะ ...เพราะกิเลสมันเข้าไม่ถึง เพราะตรงนี้เป็นที่ที่หมดกิเลส เพราะตรงนี้เป็นที่ที่ไม่มีกิเลส..ตั้งอยู่ หรือว่าสิงอยู่ หรือว่าครอบงำอยู่

ปฏิบัติไปนี่ พอมันเกิดความชัดเจนขึ้นแล้ว มันก็จะเข้าใจในตัวของมันเองน่ะ...ทีละเล็กทีละน้อย

ก็ทำแบบเดิม ...อยู่ด้วยความรู้ตัว กลับมาอยู่กับตัวเอง กลับมาดูมือดูเท้า ดูแขนดูขาของตัวเอง  เดี๋ยวมันก็จะเข้าใจรายละเอียดที่มันเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยภายในนั่นแหละ

ไอ้ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ไม่เคยรู้สึกสละละวางได้ ...มันก็จะเปลี่ยนให้เห็นเองไปเรื่อยๆ  เพราะเราประกอบเหตุแห่งศีลสมาธิปัญญา คือการรู้ตัวเรื่อยๆ

ผลมันก็ปรากฏขึ้นมาเป็นลำดับลำดาภายใน...เป็นระยะๆ ไป ...แล้วเราก็ค่อยๆ สำเหนียก ทำความเข้าใจชัดเจนในผลนั้นๆ ว่าเป็นไปตามมรรคตามผล ตามอรรถตามธรรมที่ท่านว่าไว้มั้ย

มันก็เกิดความไม่คลาดเคลื่อนในธรรม ในผลของการปฏิบัติในธรรมนั้นๆ 

ศีลอย่างไร...ได้ผลอย่างไร สมาธิอย่างไร...ได้ผลอย่างไร ปัญญาอย่างไร...ได้ผลอย่างไร  เห็นมั้ย ไม่คลาดเคลื่อนจากธรรม...ที่เรียกว่าศีลสมาธิปัญญา

เพราะฉะนั้น อริยะปฏิบัติ จะไม่เถียงกัน จะไม่คัดง้างกัน ...ทำแล้วได้ผลอย่างไร มันไม่มีทางที่จะเปลี่ยนแปลงผลเป็นอื่นได้เลย ... มรรคอย่างไร...ผลอย่างนั้น

เพียงแต่ว่า พวกเรายังไม่เคยเข้าถึงผลมาก่อนแค่นั้นเอง  มันจึงเกิดความอุทธัจจะ คือสงสัยลังเล เพราะมันไม่เคยเห็นมา ...ถ้ามันเห็นก็ไม่มาเกิดแล้ว 

มันก็อุทธัจจะ ...เพราะเหมือนกับเส้นทางนี้มันไม่เคยเดิน และไม่เคยเห็นเลยว่าข้างทางคืออะไรก็มันเดินแต่ทางในโลกน่ะ

แต่พอมันมาเดินทางที่ออกนอกโลก ...มันไม่เคยเห็นมาก่อนหรอกว่าไอ้ข้างทางนี่มีอะไร ใช่มั้ย  มันก็งง...งงด้วย สงสัยด้วย  เอ๊ะ มันอะไรกันนี่ ใช่รึเปล่า เพราะไม่เคยเห็นมาก่อน

มันไม่ผิดหรอกที่มันจะต้องรู้สึกอย่างนั้นเสียก่อน ...แต่ว่าเมื่อมันเริ่มคุ้นเคย มันก็รู้สึกว่าสบายหูสบายตาดีว่ะ มันไม่เร่าร้อนเหมือนอย่างเดิม เออ ...ในเส้นทางนี้ 

เพราะว่ามันไม่สามารถจะดึงไปข้องแวะเกาะเกี่ยวอย่างเดิมได้แล้ว ในเส้นทางของมรรค ...มันก็เห็นอยู่อย่างนั้น แต่มันไม่สามารถจะดึงเข้าไปข้องแวะเกาะเกี่ยวได้ 

มันก็จะดูแปลกๆ ใหม่ๆ ...แต่เดี๋ยวก็เคย ...พอเคยแล้วก็สบาย ตั้งหน้าตั้งตาเดินลูกเดียว ไม่เหลียวหลัง

พอมันเริ่มสมดุลเริ่มสบาย คราวนี้เดินลูกเดียว ไม่เหลียวหลัง ไม่อาวรณ์ ไม่กังวล ไม่หวนคืน เดี๋ยวถ้าไปแล้วไม่หวนคืน ...แรกๆ มันยังหวน หวน เพราะมันไม่เคย

ความมีความเป็น...ที่เคยมีเคยเป็นนั่นแหละ มันเป็นความคุ้นเคย ...แต่มรรคนี่ มันยังไม่เคย


(ต่อแทร็ก 11/22)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น