วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2559

แทร็ก 11/31 (1)


พระอาจารย์
11/31 (add560623B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
23 มิถุนายน 2556
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ  :  แทร็กนี้แบ่งการโพสต์เป็น  2  ช่วงบทความ)

โยม –  พระอาจารย์คะ ถ้าหากว่าเรายังฝึกไม่ดี ...มันยังฝึกไม่ดีน่ะค่ะ

พระอาจารย์ –  ก็ต้อง... มันก็เป็นไปตามกรรมน่ะ มันก็เป็นไปตามวิถีน่ะ


โยม –  แล้วถ้าสมมุติว่าเราอยาก...เราจะอยากไม่ให้กายเป็นของเราน่ะค่ะ โยมก็พูดไม่ค่อยถูก

พระอาจารย์ –  เอ้า ก็บอกแล้วว่า...การที่จิตมันจะยอมรับ..ยอมเชื่อว่ากายนี้ไม่ใช่เรา ...ก็ต้องดูกายที่ไม่ใช่เป็นเราสิ


โยม –  เราต้องพาเขา...แบบนึกนำเขา นึกบอกว่า นี่ไม่ใช่ของเรานะ

พระอาจารย์ –  ไม่ใช่ อันนั้นมันเป็นแค่จินตามยปัญญา ...กายที่มันไม่ใช่ของเรานี่ มันก็มีอยู่ในปัจจุบันอยู่แล้ว ...มันแข็งมั้ย รู้สึกแข็งมั้ย


โยม –  ค่ะ

พระอาจารย์ –  เออ ไอ้ความรู้สึกที่เป็นก้อนแข็งนี่ มันเป็นเราตรงไหนเล่า


โยม –  มันก็ยังนึกอยู่น่ะค่ะ

พระอาจารย์ –  เออ มันนึกก็ช่างมัน ...แต่ไอ้ตัวที่มันแข็งนี่ มันไม่มีความเป็นเราอยู่แล้ว เพราะนั้นพยายามดู...ดูความแข็ง ดูความไหวความตึง ความแน่น ความหนัก ความอ้าว ความอบ อะไรอย่างนี้ 

ดูกายตรงนี้ ดูกายเหล่านี้ ดูกายที่มันแสดงอย่างนี้ ให้จิตมันเห็นกายตัวนี้บ่อยๆ มันจึงจะออกจากความเป็นเราแต่ถ้าไปดูกายในความคิด หรือว่าอยู่ในความคิดนี่ มันจะเป็นเราหมดเลย มันเป็นกายปรุงแต่ง


โยม –  แต่ถ้าเห็น อย่างทุกวันนี้ เราบอก..อือ ไม่ใช่ของเรานะ เราพยายามบอกมันว่าไม่ใช่ของเรา

พระอาจารย์ –  มันก็เป็นการแค่เอาน้ำเย็นเข้าลูบน่ะ แค่นั้นเอง มันไม่ได้แก้ที่ต้นตอ 

คือมันจะแก้ได้ต่อเมื่อ เขาเรียกสันทิฏฐิโก ...คำว่าสันทิฏฐิโก คือต้องให้จิตน้อมให้เห็น มันมาเห็นเอง ...มันมาเห็นกายศีล มาเห็นกายตามความเป็นจริง บ่อยๆ 

อย่าไปเห็นกายสังขาร กายปรุงแต่ง กายสมมุติ กายบัญญัติ กายที่นึกคิดขึ้น อย่างเนี้ย กายในความคิด อะไรพวกนี้ ...ถ้ามันไปเห็นอย่างนั้นน่ะ มันก็จะเกิดความเชื่อมั่น ยึดมั่นว่าเป็นตัวเราของเรามากขึ้นไปเรื่อยๆ

แต่ถ้ามันเห็นกายตามความเป็นจริงหรือว่ากายปกตินี่บ่อยๆ ...ซึ่งตรงนี้มันเป็นกายที่แสดงความเป็นตัวตนที่ไม่มีความเป็นเรา หรือมีสัญลักษณ์เป็นเราเลย

ถึงบอกให้เห็นกายศีลบ่อยๆ ให้จิตมันมารู้เห็นกายที่เป็นก้อนศีล ก้อนธาตุ ก้อนปกตินี่ ...มันจะเชื่อก็ตาม ไม่เชื่อก็ตาม ...แรกๆ มันจะไม่เชื่ออยู่แล้ว ยังไงมันก็ยังบอกเป็นเราวันยังค่ำน่ะแหละ เข้าใจมั้ย

แต่ว่าให้มันเห็นลงไป คือให้มันเห็นกายตามความเป็นจริงนี่ ...จนกว่าจิตมันจะยอมจำนน จนกว่าเรานี่จะยอมจำนนต่อหลักฐาน เพราะมันไม่สามารถจะมาดิ้นหลุดได้เลย

เพราะหลักฐานมันแสดงอยู่ทนโท่คาหูคาตา ณ ปัจจุบัน ว่ามันไม่มีสัญลักษณ์ใด หรือคำบ่งบอกชี้ชัดเลยว่า...มันเป็นตัวเราของเราตรงไหนน่ะ

เอ้า ลมหายใจอย่างนี้ ดูลม มันพองลมวูบวาบๆ มันเป็นเราตรงไหนในกองวูบวาบนี่ ใช่มั้ย ...ถึงแม้ลึกๆ มันจะบอกว่าเราหายใจ หรือว่ากำลังหายใจก็ตาม

แต่ให้มันเห็น ให้มันเห็นซ้ำลงไป ให้มันเห็นของจริงไปด้วย จนกว่ามันจะยอมจำนนน่ะ …คือมันต้องอาศัยความเพียรซ้ำซาก เพราะมันจะดิ้นไปดิ้นมาอยู่อย่างนี้ 

นี่เขาเรียกอะไร...ที่มันอ้างข้างๆ คูๆ  แล้วมันก็ดื้อรั้น มันคือความถือตัว...คือความอหังการ คือมันถือเอาแบบไม่มีเหตุไม่มีผลน่ะ ความเป็นเรานี่ จิตเรา หรือว่าตัวเรานี่

แต่ก็ต้องเอาตัวหลักฐานตามความเป็นจริงนี่มาเป็นตัวยันไว้... ว่าปกติกายคือปกติกายจริงๆ ...ลมพัดทีวูบทีนี่...ดู..รู้ ไม่ต้องว่าอะไร ไม่ต้องไปบอก เออ นี่คือความไม่เป็นเรานะ

ไม่ต้องว่าอะไร ดูเฉยๆ ...ให้มันเห็น ให้จิตมันรู้ ให้มันเห็นความเป็นจริงหรือเหตุแห่งกายที่ปรากฏ ในปัจจุบันนั้นๆ ...แล้วก็ทำให้ได้ในปัจจุบัน...ทุกปัจจุบันกายนี่ 

ไม่ให้คลาดเคลื่อนเลยน่ะ กับความเป็นจริงของกายที่ยืน เดิน นั่ง นอน ...นั่น จิตมันจะยอมจำนนเองน่ะ เพราะมันเถียงไม่ได้กับหลักฐานความเป็นจริง

มันจะอ้างข้างๆ คูๆ ไป...ก็ไปไม่รอดหรอก ...แล้วมันจะยอมรับ มันจะเกิดความยอมรับ ...แต่ไอ้ที่มันไม่ยอมเพราะมันเห็นความเป็นจริงตัวนี้น้อย ...มันเห็นแต่ของหลอก

แล้วก็ยิ่งคิด ยิ่งสนับสนุนการคิดการปรุงเท่าไหร่  มันก็ยิ่งเห็นตัวนั้นน่ะจริงกว่าตัวนี้ ...มันกลายเป็นความพอกพูนอัตตาตัวเรา ตัวตนของเรา ความเป็นเราให้มากขึ้น

แต่ถ้ามันดูซ้ำๆๆๆ ไม่คลาดเคลื่อนจากปกติกายปกติศีล หรือธรรมดาของกายที่มันปรากฏ ...ลมพัดอย่างนี้ แข็ง อ่อน ไหว เป็นก้อน หนัก เป็นกายเวทนา เป็นกายผัสสะ เป็นกายวิญญาณ เป็นกายธาตุ 

ดูมันในแง่นี้ ...มันมีอยู่แล้ว มันไม่ต้องหาหรอก  แค่ย้ำๆ หยั่งๆๆ ย้ำลงไปในกายนี้ หยั่งลงไป คอยหยั่งไว้ ...จิตมันไม่อยากดูหรอก จิตน่ะมันอยากออกข้างนอก มันอยากคิด 

มันอยากไปคิดถึงเราข้างหน้าข้างหลัง มันอยากคิดถึงคนนั้น คำพูดคนนี้ การกระทำของคนโน้น  นี่ มันจะหนีกาย จิตมันจะหนีกายปัจจุบัน มันจะหนีกายปกติอยู่เรื่อย ...นี่คือสันดานที่เรียกว่าอนุสัย

เพราะนั้น การที่มีสติ แล้วน้อมกลับบ่อยๆ น้อมแล้วก็หยั่งลงที่ความรู้สึกในกายบ่อยๆ ...ตรงนี้มันเหมือนกับเป็นการสั่งสอนจิต...ที่โง่น่ะ ที่ไม่อยู่กับร่องกับรอยน่ะ

ให้มันกลับมาดู ให้กลับมาเห็นความเป็นจริงของกายที่มีอยู่แล้ว ...นี่ ไม่ใช่ว่าต้องสร้างขึ้นมา ปกติกายมันก็มีอยู่แล้ว แต่ว่าจิตมันไม่ยอมดู จิตมันไม่ยอมรู้อยู่ตรงนี้

นั่นน่ะ จิตไม่ยอมมารู้มาเห็นในกายปกติ กายศีลนี้ ...เพราะนั้นเมื่อมันไม่กลับมารู้กลับมาเห็นกายตามความเป็นจริงหรือปกติกายตรงนี้ มันก็จะไม่เกิดปัญญา

มันก็ไม่เกิดความยอมรับกายตามความเป็นจริง มันก็จะปรุงไปเรื่อย...เชื่อว่าเป็นยังไงมันก็ปรุงไปอย่างนั้นน่ะ เราจะเป็นอย่างนั้น เราจะเป็นอย่างนี้ มันก็สร้างไป


โยม –  อย่างนี้ค่ะพระอาจารย์ อย่างสมมุติว่าเมื่อกี้น่ะค่ะ ลมพัดมาเรารู้ว่าเย็น อย่างนี้ถูกไหมคะ

พระอาจารย์ –  เออ ก็เห็นไปเถอะ ...คือยังไงๆ ในระดับพวกเรานี่ มันก็มี..เรารู้ เราเห็น..อยู่ในปัจจุบันอยู่ตลอดน่ะแหละ เข้าใจมั้ย ...ยังไงๆ ก็ยัง..มีเรา

แต่ว่ามันมีเราในปัจจุบัน มันไม่มีเราในอดีต มันจะไม่มีเราในอนาคต ...เห็นมั้ยว่า ความเป็นเรานี่มันหดตัวลงมาแล้ว ...แล้วก็รู้ไปเรื่อยๆ เรานั่ง เรายืน เราเดิน 

ก็ไม่ว่ากัน เข้าใจมั้ย มันว่าเรานั่ง...ก็เออ มันว่าเรานั่ง ก็รู้ว่าเรานั่ง ...แล้วมันก็มีอาการมีความรู้สึกในการนั่งตรงนั้นรึเปล่า มีมั้ย ...เออ ก็ให้มันเห็นกำกับลงไป

เดี๋ยวมันก็ค่อยๆ ...เออ เฮ้ย บางครั้งบางคราวมันก็ไม่รู้สึกว่าเป็นเรานั่ง  แต่มันก็มีความรู้สึกว่านั่งกับรู้เฉยๆ ...มันก็จะเห็นรายละเอียดเหล่านี้ ว่าไม่มีเรานั่ง มันก็นั่งได้ เดินได้ ทำได้ ไม่เห็นมันตายเลยนี่

มันก็เห็นว่าไอ้เรานี่มันเป็นส่วนเกิน ไอ้ความรู้สึกที่เป็นเรานี่มันเป็นส่วนเกินในขันธ์...ไม่มีจริง  ถึงไม่มีเรา ขันธ์มันก็ดำรงอยู่ได้ไม่เห็นตายเลย อะไรอย่างนี้ ...นี่ มันจะเข้าใจ มันจะเข้าใจเข้าไปเรื่อยๆ

แล้วจิตมันจะเริ่มชัดเจนในการเป็นแค่กองกายกองรู้ ...ความเป็นจริงมันมีอยู่แค่นั้นแหละ นอกนั้นมันเป็นของหลอกลวงหมดเลย ปนเปื้อน เป็นของปนเปื้อนหรือเป็นมลทินน่ะ

แม้แต่ว่า “นั่ง” นี่ยังเป็นมลทินเลย มันเป็นสมมุติบัญญัติ ...จริงๆ น่ะ ในอาการนั่ง มันเป็นแค่ความรู้สึกลอยๆ กับรู้เท่านั้นเอง...โดยที่ความรู้สึกลอยๆ นั้นก็ไม่ได้บ่งบอกว่าเป็นความรู้สึกชื่ออะไร ของใคร

นี่คือตัวกายจริงๆ มันจะเป็นอย่างนั้น ...ซึ่งตัวกายที่แท้จริงนั่นน่ะ...คือในระดับพวกเรานี่ มันจะเห็นได้ไม่ต่อเนื่องหรอก มันจะเห็นได้เป็นแวบๆ

ไอ้กายตามความเป็นจริง ขันธ์ตามความเป็นจริงนี่ มันจะเห็นได้สักขณะ สองขณะ  แล้วจากนั้นไปก็มีสมมุติบัญญัติมาถาโถมถั่งโถม ครอบคลุมอยู่ตลอด

แต่ให้ทำไปเรื่อยๆ ซ้ำๆ ลงไป ในความรู้สึกที่มันอิง ให้มีความรู้สึกในกายนี่อิงไว้...อิงไว้เป็นหลักฐานความเป็นจริงว่า ถึงมันจะบอกว่านั่ง หรือมันบอกว่าเป็นของเราก็ตาม

ขอให้มีความรู้สึกในกายนี้อิงไว้ เป็นความรู้สึกที่มันมีอยู่แล้วนี่..อิงไว้ ...แล้วมันจะไม่หนีจากความเป็นจริงไปได้ มันจะไม่หนี...จิตมันจะไม่สามารถที่จะมาโต้แย้งความเป็นจริงนี้ได้ จิตที่ไม่รู้น่ะ

จนมันยอมน่ะ จนมันยอมถึงขั้นที่เรียกว่ายอมรับต่อความเป็นจริงของกายของศีลนี้...แบบศิโรราบ มันยอมแบบศิโรราบเลย หมายความว่าเถียงไม่ออกเลย

มันหยุดเถียงเลย หยุดออกความเห็น หยุดสร้างความเชื่อแบบผิดๆ เลย ...มันยอม เรียกว่ามันยอมอ่อนน้อมต่อศีล อ่อนน้อมต่อธรรม อ่อนน้อมต่อกาย อย่างนี้


(ต่อแทร็ก 11/31  ช่วง 2)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น