พระอาจารย์
11/26 (560729B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
29 กรกฎาคม 2556
พระอาจารย์ – อย่ามองว่าเป็นของยาก ของทำไม่ได้ ...การเกิดมาแต่ละครั้งน่ะยากกว่านี้อีก ออกจากท้องแม่น่ะ ยังผ่านมาได้เลย
แค่การเจริญสติ การระลึกรู้
การเท่าทันตัวเอง...ตัวกายในปัจจุบันน่ะ มันอยู่ในท่าทางอิริยาบถไหน ...นี่มันยากเกินไปมั้ย ในการที่จะระลึกแล้วกลับมารู้ตัวเองว่ากำลังทำอะไรอยู่ให้มันพอดีกันกับกายปัจจุบัน
หลงลืมไปก็รู้ใหม่ได้ ไม่เสียหายอะไร …อย่าขี้เกียจ อย่าขี้เกียจที่จะระลึกรู้ใหม่ อย่าขี้เกียจที่จะรักษาความต่อเนื่องของการระลึกรู้นี้ ให้มันยืดยาว ให้มันกินเวลาไปนานๆ
เพื่อให้เกิดความชัดเจนในองค์มรรค
เพื่อให้เกิดความแข็งแกร่งในองค์มรรค ...มันก็ต้องทำสติในกายนี้ให้มันต่อเนื่อง
ยืดยาว
มันจึงจะชัดเจนว่า ทางสายกลาง
หรือว่ามรรคาปฏิปทา หรือว่ามรรควิถีนี่คืออย่างไร แล้วมันให้ผลเป็นคุณเป็นโทษอย่างไร ...ก็จะประจักษ์ ด้วยตัวของบุคคลนั้นๆ ผู้ปฏิบัตินั้นๆ
ไม่ต้องไปหาตำรามาอ้างอิง
ไม่ต้องให้คำพูดคนอื่นมาอ้างอิง ...มันก็จะเกิดความตระหนักอยู่ภายใน ว่ามรรค
ประโยชน์ของมรรค คุณค่าของมรรค
คุณค่าของการดำรงชีวิตดำเนินชีวิตอยู่ในองค์มรรคน่ะ ...มันให้ผลแตกต่างไปจากการดำรงดำเนินอยู่บนฐานของความไม่รู้แล้วก็ประกอบเหตุด้วยสมุทัย
คือความเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ตลอดสาย
ถ้ามันชัดเจนในองค์มรรคขึ้นเรื่อยๆ
นี่ ...มันจะเห็นเลยว่า เส้นทางของมรรคที่พระพุทธเจ้าว่าเป็นทางอันประเสริฐนี่
มันต่างกันเหมือนฟ้ากับเหว...กับวิถีจิตที่ดำเนินอยู่ตลอดเวลาของ “เรา”
อะไรๆ ก็ตามที่มันออกมาจาก “เรา”
นั่นแหละกิเลสล้วนๆ ออกมาจากความไม่รู้ล้วนๆ มันเห่อเหิม โจนทะยานไป ...กว่าที่ศีลสมาธิปัญญามันจะมีพลัง
มีอำนาจ เหนือความอยาก-ความไม่อยากของเรา
เบื้องต้นน่ะ ลำบากแน่ๆ ยังไงก็ลำบาก ... อยู่กับกิเลส...ทำตามกิเลสก็ลำบาก ... พอเห็นกิเลส...ละกิเลส อยู่กับตัวเองก็ลำบาก ...มันลำบากทั้งสองอย่างน่ะ
แต่ว่าความลำบากในการที่ทำตามกิเลส
ทำตามอำเภอใจเรา ทำตามความอยาก-ความไม่อยากของเรานี่ ...มันเป็นความลำบากที่ไม่มีวันจบสิ้น
โดยมีเครื่องล่อ คือมีความสุขเล็กๆ
น้อยๆ มาฉาบทา พอให้คิดว่าเชื่อว่า ยังหาความสบายได้อยู่อีกในวันข้างหน้า วันต่อๆ
ไป จนถึงขั้นชาติต่อๆ ไปที่ได้เกิดมาใหม่
มันหลอกให้ต่อเนื่องสืบยาวไปเรื่อย
โดยเอาสุขมาเป็นเครื่องล่อ เอาอารมณ์ที่หมายมั่นว่าเป็นสุขนั้นน่ะเป็นเครื่องล่อ
เช่นคนหนึ่งหน้าตาประมาณนี้
มันก็คิดว่าเกิดมาชาติหน้า ขอให้มันได้ดีกว่านี้ ...เห็นมั้ย
จิตนี่มันจะหมายอะไรล่วงหน้าที่มันดีกว่า เหนือกว่า สุขกว่า ...ซึ่งไม่รู้ว่ามันจะได้อย่างนั้นจริงไหม
พอคิดว่าได้ไม่จริง
มันก็หาทางทำให้ได้จริง เช่น ทำบุญเข้าไปเยอะๆ ตามเขาว่า ...เขาบอกว่าทำบุญแล้วจะได้รูปสวย ได้เมียสวย
ได้เงินทอง ได้ฐานะดี มีศักดิ์มีศรี มีชื่อมีเสียง
ก็เลยทำบุญกันไป...เพื่ออะไร ...เพื่อประกอบเหตุให้ได้ผลอย่างที่ต้องการ ...มันเลยผิดวัตถุเป้าประสงค์ของการทำบุญ
กลายเป็นการทำบุญหวังผลไป
เดี๋ยวนี้ชาวพุทธน่ะ
เป็นพุทธที่...ไม่ใช่พุทธบริษัท ...เป็นพุทธกิจ พุทธะบวกธุรกิจ ค้าขายกำไรเกินควร
มากจนปิดบัง...แทบจะปิดบังความหมายของการทำบุญแล้ว
ว่าเป้าหมายที่แท้จริงของบุญ
หรือคำว่าทานบารมีคืออะไร ...เป้าหมายของการทำบุญ ให้ทาน ทำทาน ที่แท้จริงน่ะคืออะไร ...ไม่ใช่ให้ได้รูปสวย ได้เงินทองมาไม่อดอยาก หรือมีแต่เรื่องดีๆ เป็นมงคล
อันนั้นเป็นเพียงอานิสงส์เล็กน้อย ...ถ้าให้เรามองนะ เรามองเป็นอานิสงส์ที่มีอยู่เล็กน้อย พอคุ้มกะลาหัว พอคุ้มขันธ์
แค่นั้นเอง ...แต่เป้าหมายของการให้ทาน
การทำบุญที่แท้จริงน่ะ มากกว่านั้น
คือเหล่านี้ ความรู้ความเข้าใจเช่นนี้
ที่มันตรงต่อสภาพที่แท้จริง แล้วก็ตรงตามปริยัติ ตามบัญญัติ ตามพระไตรปิฎก
ตามที่พระพุทธพจน์ท่านกล่าวว่าไว้เป็นพุทธวจนะนี่
ถ้าไม่ปฏิบัติ ...มันจะไม่เกิดความรู้ความเข้าใจแบบลึกซึ้ง ชัดเจน และจริง ...เพราะความรู้ความเข้าใจในแง่ปริยัติที่เคยได้ยินได้ฟังมา มันก็จะเป็นแบบพื้นๆ แล้วมันจะคลาดเคลื่อน
มันมีโอกาสคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงได้ แล้วบางทีก็คลาดเคลื่อนจนพาลงเหวลงนรกเลยก็มี ...เพราะนั้น บุญน่ะดี ...แต่ถ้าติดบุญน่ะ...ลงนรกก็ยังได้เลย
เพราะนั้นต้องเน้นเรื่องการภาวนาภายในของตัวเจ้าของ ...ภาวนาด้วยสติ...ไม่ได้ภาวนาด้วยความอยากหรือความไม่อยาก ...แต่ต้องภาวนาด้วยสติ
ภาวนาด้วยการระลึกรู้
โดยมีกายนี้เป็นบทบริกรรม
ใช้กายนี้เป็นการบริกรรม แทนคำบริกรรม ...เพราะมันเป็นบริกรรมที่ตายตัว
มันมีมาตั้งแต่เกิดจนวันตาย ...อย่าง "พุทโธ"นี่ยังหาเอาใหม่ด้วยการคิดๆ นึกๆ ขึ้นมา
แต่กายนี่มีอยู่ทุกขณะ ...แม้กระทั่งว่าพุทโธอยู่
กายนี้ก็ยังมีอยู่ตรงนั้น แสดงถึงความเป็นจริงที่มีอยู่ตลอดเวลา เปิดเผย
ตรงไปตรงมา สง่าผ่าเผยในความเป็นธรรมนี้
เพียงแต่ผู้ปฏิบัตินั้นยังไม่ตั้งใจ
ยังไม่ใส่ใจที่จะเรียนรู้กับความเปิดเผยของธรรมนี้ ที่เรียกว่าสมมุติว่ากายนี่
อย่างใส่ใจและจริงจัง ...ด้วยความตั้งมั่นแน่วแน่มั่นคง
นี่คือความหมายของคำว่าสมาธินั่นเอง
พอมันมีสติ แล้วก็ระลึก แล้วก็ไม่ลืม ...พอไม่ลืมแล้วก็ตั้งมั่นแน่วแน่มั่นคงอยู่ในจำเพาะกายจริงๆ ...นอกจากนี้...ไม่ไปรับรู้
ไม่ไปสนใจที่จะรับรู้
ไม่ไปอยากรู้อยากเห็นอะไรที่มันนอกเหนือจากกายนี้
นี่เขาเรียกว่าตั้งมั่นแน่วแน่และมั่นคงที่เดียว …การตั้งมั่นแน่วแน่มั่นคงในที่เดียวนี้ เรียกว่าสัมมาสมาธิ
ซึ่งการที่จะตั้งมั่นแน่วแน่มั่นคงได้ต่อเนื่องตลอดเวลา
มันก็ต้องอาศัย...ไม่เพียงแค่สติ มันจะต้องเป็นสัมปชัญญะ
คือความรู้ตัวทั่วพร้อมต่อเนื่องตลอดเวลา
คือในระดับหนึ่ง อาจจะไม่ถึงขั้นตลอดเวลาร้อยเปอร์เซ็นต์ ...แต่ว่ามันต้องเป็นพีเรียดยาว...หนึ่งชั่วโมง ครึ่งชั่วโมง สิบนาที ยี่สิบนาที อันนี้ก็แล้วแต่
นี่ ตามความพากเพียรของผู้ปฏิบัติ
วัดกันไม่ได้ ...ไม่ต้องไปเทียบคนอื่น
เอาตัวเองน่ะเป็นตัวเทียบ ...วันนี้ดีรึยัง วันนี้ต่อเนื่องได้ขนาดไหน ...ก็ให้มันมากขึ้น
จนไม่มีช่องว่าง ช่องเว้น รอยต่อ รอยแยก รอยรั่ว รอยขาด ทะลุ แหว่ง
เว้า โหว่ วิ่น บิ่น ...เหล่านี้คือความหมายของคำว่าศีลบกพร่อง
ก็คือกายนั่นแหละบกพร่องจากการรับรู้ในปัจจุบัน
เมื่อขาดการรับรู้กายในปัจจุบัน
ก็เรียกว่าศีลนี้ขาดตกบกพร่อง ด่างพร้อย เศร้าหมอง ...มันจึงไม่เกิดคำว่าตั้งมั่น
แน่วแน่ มั่นคงอยู่ภายใน กับสิ่งที่เรียกว่า..กับสิ่งที่สมมุติว่ากายนี้
เพราะนั้นปัญญามันจะต้องเกิดต่อเนื่องจาก...ตั้งมั่นแน่วแน่มั่นคงต่อกายนี้
มันจึงเกิดสภาพที่เรียนรู้กายนี้
สำเหนียกกายนี้ ด้วยความเป็นโยนิโสมนสิการ
มันก็จะค่อยๆ เปิดเผย...ด้วยปัญญานี่ เปิดเผย...สิ่งที่มันห่อหุ้ม ปกคลุม ปิดบัง
ครอบคลุมกายนี้ ...เหมือนเราแหวกจอกแหน ผักตบชวา ซึ่งไม่เคยรู้ว่าใต้จอกแหน
ใต้ผักตบชวานั้น มีน้ำใสเย็นอยู่ข้างใต้
แต่เราอยู่กับกอผักตบ กอจอกแหนนั่น...เป็นอาจิณ เป็นนิสัย เป็นสันดาน มานับภพนับชาติไม่ถ้วน ...แต่ไม่รู้จักไม่เข้าใจว่าใต้จอกแหน
ใต้ผักตบชวานั่น มีน้ำอยู่
คือมันยังไม่เห็นความเป็นจริงของกาย
ไม่รู้จักแม้กระทั่งความเป็นจริงของกายอยู่ที่ไหน
เมื่อไม่รู้จักว่าความเป็นจริงของกายอยู่ที่ไหน ...มันก็หาออกไปข้างหน้าบ้าง หาไปในที่อื่นบ้าง หาไปตามตำรับตำราบ้าง
หาไปตามคำพูดคนอื่นบ้าง ...ยิ่งหายิ่งไกล ยิ่งหายิ่งไม่เห็น
เกิดมาพร้อมกับก้อนธาตุก้อนกาย
ก้อนทุกข์ก้อนธรรม ...จะไปหาที่ไหนเล่า ที่นอกจากกายที่มันนั่งนอนยืนเดินนี้ ...เพราะความเป็นจริงก็อยู่ตรงนี้
กายจริงๆ ก็อยู่ตรงนี้
เพียงแต่มันไม่แหวกออก
ไม่มีอำนาจที่จะไปแหวกออก คืออำนาจของสติ ศีล สมาธิ ปัญญา...ในปัจจุบันด้วยนะ
ไม่ใช่ศีลสมาธิปัญญาข้างหน้า หรือที่ผ่านมา
พวกนักปฏิบัติส่วนมากน่ะ มันเคยได้
เคยเห็น เคยรักษาได้ ...แต่มันผ่านไปแล้ว ก็มัวแต่ไปจมปลัก คิดนึก คำนึง อาวรณ์ อาลัย
เศร้าโศก หดหู่ กับสิ่งที่มันล่วงลับไปแล้ว
นี่ ไร้สาระสิ้นดี
เสียชื่อผู้ปฏิบัติสิ้นดี ...มันเอาคืนไม่ได้ จะไปนั่งโศกาอาดูรปริเทวนากับมันทำไม ...กายมีอยู่นี้ ปัจจุบันอยู่ตรงนี้
ศีลอยู่ตรงนี้...ก็เจริญขึ้นมาใหม่สิ
มัวแต่ไปงมโข่งอยู่กันที่ไหน
มัวแต่ไปขุดค้นที่ไหน หรือมัวแต่ไปนอนหลับทับสิทธิ์อยู่ที่ไหน ...รู้จักมั้ยไอ้พวกนอนหลับทับสิทธิ์นี่
มีสิทธิ์ลงเลือกตั้ง มีสิทธิ์หย่อนบัตรแต่ไม่ใช้สิทธิ์
เนี่ยกายใจมี ...มีสิทธิ์มาตั้งแต่เกิด แต่ไม่ใช้สิทธิ์ กลับนอนหลับทับสิทธิ์ ...ปล่อยให้กายนี้มันเปื่อยเน่าไปโดยไร้ค่าไร้ราคา
แล้วก็จากไปด้วยการถูกจิตเราก่นด่าว่าทำไมมันทุกข์เหลือเกิน
มีแต่ว่าทำไมมันทุกข์มากมาย ทำไมมันไม่เป็นสุขให้จนวันตาย ...นี่ ยังไปด่าทอสาปแช่งมันอีกเวลามันเป็นทุกขเวทนา
โดยไม่เข้าใจว่า เขาแสดงธรรมให้ดู เขาแสดงความเป็นจริงให้รู้
ก็หนีกันหัวซุกหัวซุน
แก้กันแบบสุดลิ่มทิ่มประตูเลย ...ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันแก้ไม่ได้ มียาตัวไหนมันแก้เกิดแก้ตายได้บ้าง
ไอ้การแก้เจ็บแก้ป่วยน่ะมันไม่ได้แก้หรอก
มันแค่บรรเทา ...คนมันถึงเต็มอยู่ในโรงพยาบาลน่ะ มาแล้วก็มาอีกๆ มันว่าหายแล้วๆ
ทำไมมันมาอีกเล่า
มันไม่หาย มันแค่บรรเทา …ไม่มียารักษาโรคที่ไหนหรอก ที่มันมารักษาโรคไข้เจ็บป่วยได้โดยเด็ดขาด...ไม่มี
...เพราะกายนี้มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ไม่มียาอายุวัฒนะที่ไหนหรอก
นอกจากธรรมโอสถ
คือศีลสมาธิปัญญานั่นแหละ...เป็นยาที่จะแก้เกิดแก้ตายได้...ขนานเดียว เป็นยาขนานเอกของพระพุทธเจ้า
ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ท่านวางไว้ ชี้แนะไว้ ให้สูตรยา...เป็นธรรมโอสถขนานเอก ...แต่ไม่รู้จักหยิบมากิน หยิบมาใช้กัน กลับไปหวังน้ำบ่อหน้า หรือไปกินน้ำใต้ศอกคนอื่น
อย่างไหนล่ะ ...ก็ประมาณตามล่าหาพระอริยะน่ะ มันมีทัวร์ตามหาพระอริยะ ...มันจะตามหาพระแสงอะไร หือ จะไปกินน้ำใต้ศอกท่าน แล้วมันจะเข้านิพพานหรือยังไง
มันต้องตามล่าอยู่ภายในใจเจ้าของนั่นแหละ
ทำอริยะจิตให้บังเกิด จนกราบไหว้ตัวเองได้นั่นแหละ ...ทีนี้ไม่ต้องไปตามล่าอริยะที่ไหนแล้ว
รักษาความเป็นอริยะจิตไว้สิ ทีนี้พระก็อยู่ที่นี่แหละ ...ไม่ต้องนั่งรถนั่งเรือขึ้นเครื่องบินหาแล้ว ...ก็รักษาความเป็นพระภายในไว้ รักษาจิตที่เป็นอริยะไว้
จิตไหนที่เป็นจิตอริยะ ...ก็จิตที่ไม่มีสักกายทิฏฐิ
วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส...เอาจิตสามดวงนี้ก่อน รักษาให้ได้
เช่นไง รักษายังไง ...คือเมื่อรู้ว่าสงสัย...ละซะ
เมื่อรู้ว่ามีความเป็นเราเกิดขึ้น
ในหูในตาในจมูก ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในอดีต ในอนาคต...ละซะ
จะทำยังงั้นดีมั้ย
จะต้องเตรียมการอย่างนี้ดีมั้ย จะต้องทำวิธีการนั้นดีมั้ย...ละซะ
เนี่ย อริยะจิตก็เริ่มเค้าลางขึ้นภายในบุคคลนั้นแล้ว...แต่ยังไม่ถาวร ...ชั่วคราว
แล้วทำยังไงถึงจะถาวร ...ก็อย่างที่เราบอกตั้งแต่ต้นว่า
รักษามรรคนี่ให้ต่อเนื่อง ไม่ขาดสาย เดี๋ยวถาวรเองนั่นแหละ
ไม่ต้องมาถามเรา เพราะเราก็ไม่รู้ ...จิตใครจิตมัน
กายใครกายมัน ...อย่ามาถาม ...ต้องตอบตัวเองให้ได้
ด้วยความไม่สงสัย
(ต่อแทร็ก 11/27)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น