พระอาจารย์
11/28 (560729D)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
29 กรกฎาคม 2556
(ช่วง 1)
(หมายเหตุ : แทร็กนี้แบ่งการโพสต์เป็น 2 ช่วงบทความ)
พระอาจารย์ – ถ้าทุกคนเข้าใจในหลักธรรม
หลักการปฏิบัตินี้แล้วนี่ ...อย่าแค่ฟัง อย่าแค่เข้าใจ ...ต้องเอาไปทำ ... ใครทำ..ใครได้ ใครไม่ทำ..ไม่ได้ ใครทำมาก..ได้มาก ใครทำน้อย..ได้น้อย
ใครไม่ทำเลย..ไม่ได้ ...ไม่ได้อะไร ...ไม่ได้ความรู้แจ้งเห็นจริง ...คือไม่ใช่ได้ความดีความงามอะไร ไม่ใช่ได้บุญได้บาป ...แต่ไม่ได้ความรู้แจ้งเห็นจริงในกองขันธ์และกองโลก
เพราะนั้นก็ทำให้มันได้มากๆ ...ได้จนขนาดรู้แจ้งแทงตลอด จนมันทะลุปรุโปร่ง...ตลอดกาย ตลอดขันธ์ห้า ตลอดสามโลกธาตุ ...นั่นน่ะ
เขาเรียกว่ารู้จริง
ผู้ที่รู้จริงๆ จะรู้โดยตลอด
โดยไม่มีอะไรมาปิดบังขัดขวางได้ แม้แต่เสี้ยวหนึ่ง อณูหนึ่ง ปรมาณูหนึ่ง
ของทั้งนามธาตุและรูปธาตุ ...นี่ ความสว่างของปัญญามันทะลุหมดน่ะ
สาดส่องไปตรงไหนนี่ กระเจิดกระเจิง เปิดเผยความเป็นจริง ไม่มีนัยยะอะไรซ่อนเร้นแอบแฝงอยู่เลย ...มันจึงเกิดความบริสุทธิ์ใจ
มันจึงเกิดความบริสุทธิ์ในการรับรู้นั้นๆ
มันจึงเกิดความบริสุทธิ์ในวัตถุ ในธาตุ ในขันธ์ ทั้งรูปธาตุนามธาตุนั้นๆ ...จนไม่ลังเลสงสัย จนไม่เป็นที่แวะ ที่ข้อง
ที่ติด ที่ยึด ที่มั่น ที่ถือ ที่ครองเลย ...นั่นมันหมดสงสัย จึงเรียกว่ารู้แจ้งแทงตลอด
พวกเราเกิดมาพร้อมกับความมืดบอด ก็อย่าตายไปพร้อมกับความมืดบอด ...เสียชาติเกิด ...ให้มันตายไปพร้อมกับความสว่าง...อย่างน้อย เรืองๆ รองๆ เท่าหิ่งห้อย ก็ยังมีคุณค่านะ
อย่าให้มันมืดตึ้บ ...เกิดมาก็มืดตึ้บอยู่แล้ว อันนี้ทุกคนน่ะ ...แม้แต่เราเกิดมาก็มืดตึ้บ เกิดมาพร้อมกับความมืดบอด แล้วก็ค่อยมาทำความแจ้งไปทีละเล็กทีละน้อยนี่
เอาจนตายไปพร้อมกับสปอตไลท์ติดตัวน่ะ
สว่าง...เข้าใจ ตั้งแต่เกิดยันตายเลย เข้าใจตลอดสายเลย เข้าใจทุกอิริยาบถ เข้าใจทุกผัสสะ
เข้าใจทุกอารมณ์
เข้าใจทุกกิเลสตัณหาทุกตัว ตลอด
แจ้งหมดเลย ...ไม่สงสัยว่ามันคือใคร มันคืออะไร มันเป็นใคร มันเป็นของใคร...เข้าใจแล้ว
...นั่นแหละแจ้ง
อย่าตายกับขันธ์ด้วยความอึดอัด ทึบๆ
ทึมๆ คับๆ ข้องๆ คาดๆ เดาๆ หมายๆ หวังๆ สุ่มๆ ลูบๆ คลำๆ ...นั่นน่ะตายด้วยความไม่แจ้ง ตายไปพร้อมกับความเศร้าหมอง
แล้วไอ้ความเศร้าหมอง
ไอ้ความมืดนั่นน่ะ มันจะพามาเกิด...ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซ้ำแล้วซ้ำอีก วนแล้ววนเล่า
วนแล้ววนอีก ...ก็ทุกข์อันเก่าน่ะแหละ
ทุกข์แบบเก่าน่ะแหละ ทุกข์แบบเดิมน่ะแหละ
ก็เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทุกข์แบบเดิมๆ
นั่นแหละ เดี๋ยวได้อย่างที่อยากได้ เดี๋ยวไม่ได้อย่างที่อยากได้ ไม่อยากได้ดันได้ อยากได้ดันไม่ได้ ...เนี่ย จะไปเจออาการเก่าๆ แบบนี้แหละ
แต่ว่าไอ้วัตถุภายนอกอาจจะดูเปลี่ยนไป
ดูล้ำ ดูเลิศ ดูหยาบ ดูประณีตกว่า ...แต่ไอ้ความรู้สึกภายในเหมือนเดิมแหละ ...อยากได้แต่ไม่ได้
ไม่อยากได้ดันได้ แล้วก็เกลียด แล้วก็โกรธ แล้วก็รัก
รักแล้วก็พลัดพรากจากกัน มีสุขแล้วก็พลัดพรากจากสุข
มีคนที่รักคนที่พอใจก็พลัดพรากจากกันไป มีวัตถุข้าวของที่อยากได้
แล้วครอบครองได้ประเดี๋ยวหนึ่ง ก็พลัดพรากจากกันไป
สวดมนต์กันอยู่ทุกวัน
ท่องกันเป็นนกแก้วนกขุนทองหรือเปล่า ...ทำไมไม่เห็นว่าความเป็นจริงที่เราจะต้องมาวนเวียนอยู่กับอาการเดิมๆ
เดิมๆ นี้...โดยไม่ได้ลืมหูลืมตาเลยอ่ะ
เรียกว่าลืมตาอ้าปากไม่ได้เลย ...ตกอยู่ใต้อำนาจของกฎไตรลักษณ์ กฎธรรมชาติ กฎของทุกขสัจนี้ ทุกข์ประจำโลก
ทุกข์ประจำขันธ์ ต้องมาอยู่ใต้อำนาจของทุกข์เหล่านี้
และทุกข์เหล่านี้...ด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจนี่ ...มันก็จะบีบๆ คั้นๆ เราจนเกิดเป็นทุกข์อุปาทาน
แล้วก็เกิดการสร้างทุกข์อุปาทานที่มันจะหนีทุกขสัจให้ได้
เออ มันก็เหมือน...อัฐยายกินขนมยายไป ...ก็เกิดแล้วเกิดเล่า เกิดแล้วเกิดอีก
ก็ยังออกจากความเป็นทุกข์อุปาทานกับความที่จะแก้ทุกขสัจนี้ไม่ได้ ...เพราะมันไม่เข้าใจ
นี่มาได้ยินได้ฟัง...แล้วก็ทำความเข้าใจซะ แล้วก็ขยัน...ให้กระตุ้นต่อมขยันให้มันระเบิดไปเลย ระเบิดต่อมขี้เกียจ...ขี้เกียจรู้
ขี้เกียจภาวนาว่าปล่อยสบายๆ ดีกว่า
อย่าปล่อยนะ ...เพราะอายุขัยมันไม่ปล่อยนะ ความตายไม่ปล่อย ไม่รามือนะ ...มัจจุมาร มัจจุราชนี่ เขานอนเขานั่งรออยู่ เขาดึงเข้ามาๆ
ดึงเข้ามาใกล้ๆ แล้วเขาก็บั่นคอ
แต่ก่อนที่เขาจะบั่นคอนี่
เขาก็บั่นแขนบั่นขา บั่นตับไตลำไส้ บั่นเลือดบั่นเนื้อ บั่นอวัยวะภายในทีละเล็กทีละน้อย
กัดกลืนกินไป ...นี่คือเขาเตือนแล้วนะๆ
แล้วพอมาถึงต่อหน้า
เขาฟันได้เขาก็ฟันคอขาดเลย...ตาย นั่น มัจจุมาร ...ยังคิดว่าไม่ตายกันอยู่หรือไง
แล้วยังใช้เวลาให้หมดไปกับสาระหรือสิ่งไม่มีสาระยังไง พิจารณากันบ้างไหม
อย่ามัวแต่เล่น
อย่ามัวแต่คิดว่า...ไม่มีอะไร ไม่เป็นอะไรหรอก ใช้ชีวิตไปแบบซังกะตายวันๆ ตามอำเภอใจเรา นึกอยากไปก็ไป นึกอยากมาก็มา นึกอยากทำก็ทำ ไม่อยากทำก็ไม่ทำ
นี่เรียกว่าตามอำเภอใจ หรือตามกิเลสน่ะว่างั้นเถอะ แต่มันก็พูดภาษาให้ดูดีว่าตามอำเภอใจ ...แต่จริงๆ
ก็คือตามกิเลสเรา หรือว่าพูดภาษาลึกซึ้งกว่าหน่อย
ก็ว่าตามความไม่รู้ของเรา
คือตามอำนาจของอวิชชา ตัณหา อุปาทาน
คือความหมายเดียวกันกับว่าตามอำเภอใจ ...นี่ อธิบายให้ฟัง มันจะได้กลัวซะบ้าง
ในการอยู่ตามกิเลสน่ะ...มันมีผล มีโทษมีทุกข์สืบเนื่องไปยาวเหยียดขนาดไหน
กับการที่อยู่ด้วยการบั่นทอนกิเลส...คือตัวเราของเรา คือความอยาก-ความไม่อยากของเรา ...นั่น การอยู่ด้วยการบั่นทอนกิเลส ...เหมือนเลาะเอ็นจากเนื้อ ให้มันเหลือแต่เนื้อแท้ๆ จะได้กินคล่องคอนั่นแหละ
การที่เราคอยบั่น คอยเลาะ คอยทอนความอยาก-ความไม่อยาก ความไม่รู้เนื้อรู้ตัว ความอยากสบายปล่อยให้มันเผลอเพลิน ...คือการบั่นทอนทีละเล็กทีละน้อย
เพื่ออะไร ...เพื่อจะให้เข้าถึงรากเหง้า
ต้นตอของอวิชชา...ซึ่งเป็นสาเหตุหรือมหาเหตุ ...กายใจนี่เป็นเหตุแล้วนะ แต่ยังมีมหาเหตุคืออวิชชาตรงนั้น
แล้วตัวอวิชชามันอยู่ตรงไหน ...ไม่ได้อยู่ตรงนี้หรอก ไม่อยู่ตรงนี้ตรงกายหรอก ไม่อยู่ตรงขันธ์ด้วย ...มันอยู่ที่ใจ
…ถ้าเข้าไม่ถึงใจก็เข้าไม่ถึงตัวอวิชชา
ถ้าเข้าไม่ถึงตัวอวิชชาก็เข้าไม่ถึงตัวมหาเหตุ ...ถ้าเข้าไม่ถึงตัวมหาเหตุก็หมายความว่าการเกิดการตายนั้นยังประมาทไม่ได้ ยังไม่สามารถวางใจได้ในการเกิดและการตาย
มันไม่ยากเกินกำลังหรอก อย่าท้อ ...มันทำได้
ถ้าตั้งใจจริงๆ ...มันอยู่ที่การสร้างความตั้งใจใส่ใจขึ้นมา แล้วก็รักษาความตั้งใจนี้ให้ตลอด ต่อเนื่องไป
เพราะนั้นก็เป็นนิมิตหมายที่ดีในการเข้าพรรษาสามเดือนนี้...คือเอาสามเดือนนี่แหละ จะตั้งใจอย่างมากๆ อย่าไปเผลอเพลินลุ่มหลงกับการงานภายนอก
กายก็ทำไปแต่อย่าให้ใจเข้าไปทำ
อย่าให้จิตเราเข้าไปพัวพัน ...ไม่ใช่ว่า..เฮ้ย ไม่ทำงานเลยโว้ย จะเข้าพรรษาแล้ว
งานภายนอกจะไม่ทำ...ไม่ได้ เดี๋ยวโดนไล่ออกจากวัด
กิจวัตรข้อวัตร...ทำ การงานในวัด...ทำ ...แต่ว่าเวลาทำ อย่าเอาใจไหลใจหลง อย่าให้จิตไหลจิตหลงไปในงานนั้นจนกู่ไม่กลับ
คืนไม่ได้ คืนไม่เป็น หาฐานไม่เจอ หากายจริงๆ หาใจรู้ปัจจุบันไม่ได้
มันต้องฝึก ...เพราะเราอยู่ในโลกที่ไม่มีการงานภายนอกไม่ได้หรอก ...ขนาดบวชเป็นพระ ก็ยังมีงานของพระอีก แล้วจะทำยังไงที่จะอยู่กับงานนั้นโดยที่จิตไม่วุ่นวี่วุ่นวาย ...ถ้าไม่ฝึกมันก็ไม่ได้
สมัยพัฒนาวัด เราอยู่บนถ้ำก็แบกหินแบกทรายแบกปูนขึ้นลงวันละสัก๔๐-๕๐ เที่ยวมั้ง ก็ก้มหน้าก้มตาเดินงุดๆ
ทีละก้าวๆ ขึ้นบันไดน่ะ แบกกระสอบทรายไว้ประมาณสักแปดสิบโลน่ะ
แล้วก็ค่อยๆ เดิน
เราไม่พูดเราไม่เล่นกับใครหรอก ...เดินดูเหงื่อมันตก
เดินดูเหงื่อที่มันแตก เดินดูความปวดร้าวของเวทนา เดินดูความหงุดหงิดไม่พอใจในงาน ...ก็เดินอย่างงั้นน่ะ
คือที่ไหนก็ถือว่าเป็นที่ภาวนาของเราหมด ...ต่อให้มันร้อน เมื่อย เหนื่อยขนาด
ปวดร้าวไปทั่วสรรพางค์กาย แล้วก็มีจิตของเราที่ไม่อยาก เกลียดมากเลยงานนี้ ...ก็ดูมัน
แล้วจะทำยังไง จะเอาเวลาที่ไหนไปภาวนา
จะหาเวลาที่ไหนไปภาวนา ...ก็เอามันตรงนั้นแหละ ...ดูมัน ยืนก็ดู เดินก็ดู "เหนื่อยจะตายชัก"...ก็ดูความรู้สึกที่ว่าเหนื่อยจะตายชักมันเป็นยังไง
"เบื่อจะตายชัก" ...ก็ดูความเบื่อจะตายชัก
ดูซิ ...ก็ไม่เห็นมันชักสักที แล้วก็พูดอยู่ได้เหนื่อยจะตายชัก ไม่เห็นมันชักเลย เนี่ย
ดู...ดูความเป็นไปของมัน
ก็เก็บเล็กผสมน้อยตลอดน่ะในหน้าที่การงาน
งานวัดงานวา งานสงฆ์ งานทางศาสนพิธี งานทางโลก งานในวัด งานก่อสร้าง ...ก็ทำมาทั้งนั้นแหละ
แต่ทำด้วยสติ ...ไม่ได้ทำอยู่กับงาน แต่ทำอยู่กับสติ...มากบ้าง น้อยบ้าง ...เราก็ถือว่าเอาตัวนั้นน่ะเป็นตัวมาตรฐานการวัดว่าได้ผลของงานมั้ย
ไอ้งานภายนอกได้ผลมันก็ได้ผลไป
แต่ไอ้ผลของงานภายในเราก็คอยวัดอยู่เสมอ ...เฮ้ยไม่ได้เรื่องโว้ย แบกไปจ่มไป ด่าไป
โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวนี่ ...ก็เอาใหม่
เพราะว่าอะไร ...ก็มีโอกาสตั้งสี่สิบเที่ยวน่ะ วันๆ ขึ้นๆ ลงๆ สี่สิบครั้ง ...เออ ขึ้นเที่ยวนี้ดีโว้ย รู้ได้ดี ...พอตอนลงไม่ดี ตอนลงมันสบาย พอสบายแล้วมันลืมเนื้อลืมตัว...เออ ไม่ดีโว้ย
(ต่อแทร็ก 11/28 ช่วง 2)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น