วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

แทร็ก 11/27 (1)


พระอาจารย์
11/27 (560729C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
29 กรกฎาคม 2556
(ช่วง 1)



(หมายเหตุ  :  แทร็กนี้แบ่งการโพสต์เป็น  2  ช่วงบทความ)

พระอาจารย์ –  อย่านั่งคอย อย่านอนคอย อย่ายืนคอย อย่าหลับคอย อย่าตั้งหน้าตั้งตาคอย ...ต้องตั้งหน้าตั้งตาเจริญขึ้นซึ่งสติ ศีล สมาธิ ปัญญา

เปลี่ยนซะ เปลี่ยนสันดานซะ ...อย่ามานั่งนอนคอยวาสนามาอนุเคราะห์ มาสงเคราะห์  อย่ามานั่งคอยธรรม อย่ามานั่งคอยสมาธิ ปัญญา

ความตายมันจะมาก่อน เพราะมัวแต่คอย มัวแต่รอ มัวแต่ว่าทำอันนั้นทำอันนี้ให้เสร็จก่อน...เดี๋ยวค่อยทำ ...ให้ได้กินอยู่หลับนอน เสร็จกิจการงานก่อน...เดี๋ยวค่อยทำ

ให้เสร็จการล้างบาตรก่อน...เดี๋ยวค่อยทำ  เสร็จการนอนหลับพักผ่อน...เดี๋ยวค่อยทำ   เสร็จการกวาดตาด เสร็จการสวดมนต์...เดี๋ยวค่อยทำ เมื่อไหร่มันจะทำ

ให้เสร็จการกินก่อน เสร็จจากการขับรถ เสร็จจากการทำงาน...ค่อยทำ  เสร็จจากอาบน้ำ เสร็จจากดูหนังฟังเพลง...ค่อยทำ ...เมื่อไหร่มันจะได้ทำ

ระหว่างที่มันนั่งคอยนอนคอยนี่ ...ชีวิตมันถูกกลืนกินไปแล้ว อายุขัยมันถูกกลืนกินไปแล้ว  มันกำลังรุดหน้าไปหาความแตกความดับ ...รู้กันไหม มรณัง เม ภะวิสติ

มันเดินหน้าไปหาความตาย...ทุกลมหายใจเข้าออก ...รู้บ้างไหม ว่าหมดเวลาไปกับอะไร ได้ประโยชน์แค่ไหน ...หรือไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย ในสิ่งที่กำลังเข้าไปมัวเมาหมกมุ่นอยู่กับสิ่งนั้นๆ เรื่องนั้นๆ 

ทำไมมันไม่มามัวเมาหมกมุ่นกับศีลสมาธิปัญญาบ้างเล่า ...นี่ไม่ใช่เป็นเรื่องของพระเท่านั้น  มันเป็นเรื่องของคนทุกคนที่เกิดมา ได้กายได้ขันธ์นี้เป็นสมบัติ 

ที่เขาให้เกิดมา ได้โอกาสมาเกิด...ทั้งๆ ที่ยังมีคิวของจิตวิญญาณที่รอเกิดอีกเยอะแยะ นี่ เขาให้เกิดมาเรียนรู้ขันธ์ ให้มันมารู้จักขันธ์ตามความเป็นจริง 

แล้วมันหมดเวลาไปกับอะไรอยู่ ...หาอยู่หากิน หาชื่อหาเสียง หาความสุขหาความสบาย หาความหลงหาความเพลิดเพลิน ...หรือหามรรคหาผล หรือหาศีลสติสมาธิปัญญา ...อะไรมันจะมีคุณค่ากว่ากัน

อย่าปล่อยปละละเลย ให้เวลามันล่วงไปหมดไปในแต่ละวัน ในแต่ละชั่วโมง ในแต่ละนาที ในแต่ละปัจจุบันนี่ ...ให้เห็นคุณค่าของทุกปัจจุบัน...โดยไม่เว้น โดยไม่ว่าง โดยไม่ขาด โดยไม่หาย

จึงเรียกว่าเป็นผู้ปฏิบัติอย่างจริงจัง ...ผลน่ะจะเกิดต่อผู้ปฏิบัติอย่างจริงจัง ...จริงขนาดมันข้ามโคตรปุถุชน เปลี่ยนแซ่เปลี่ยนโคตรจากปุถุชนน่ะ เป็นอริยะบุคคล 

ข้ามโคตรเลย ...สำหรับคนที่จริงต่อการปฏิบัติ จริงต่อศีล จริงต่อสมาธิ จริงต่อปัญญา จริงแบบไม่ว่างไม่เว้น ยกเว้นเวลาหลับ  ...นี่ มีความตั้งใจเต็มเปี่ยมอยู่ตลอด

ถ้าไม่มีก็ตั้งขึ้นมาซะ ...ถ้าไม่ตั้งน่ะ...ใจมันไม่อยู่หรอก มันล้ม...ใจมันล้ม ใจมันละลายหมด สลายหายไปหมดกับอะไรก็ไม่รู้ที่แวดล้อมกายแวดล้อมขันธ์

ถ้าไม่ตั้งใจ...ใจก็ไม่ตั้ง ใจก็ไม่อยู่ ใจก็ไม่ปรากฏให้เห็นอยู่ในกายในขันธ์นี้ ...นั่ง..ตั้งใจนั่ง เดิน..ตั้งใจเดิน ยืน..ตั้งใจยืน กิน..ตั้งใจกิน หยิบจับฉวยอะไร..ตั้งใจ ทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความตั้งอกตั้งใจขึ้นมา

ไม่ใช่ทำตามความเคยชิน ตามความหลง ตามความเคยเนื้อเคยตัว  เรียกว่ามันดำเนินชีวิตด้วยความไม่ตั้งอกตั้งใจอยู่ภายใน ...จิตมันจะตั้งมั่นได้ยังไง

ดวงจิตผู้รู้มันจะตั้งอยู่ภายในขึ้นมาให้เห็น ให้ฉายแสง ฉายความสว่างสาดส่องไปทั่วกาย ทั่วขันธ์ ทั่วสามโลกธาตุได้อย่างไร ...ถ้าใจไม่ตั้งมั่น จะเข้าไม่ถึงดวงจิตผู้รู้

ถ้าไม่เกิด..บังเกิดดวงจิตผู้รู้ภายใน ...มันไม่มีแสงสว่างที่จะไปสาดส่องสิ่งที่มันห่อหุ้มปกคลุมขันธ์ โลก สามโลกธาตุ ว่าความเป็นจริง เนื้อแท้ธรรมแท้ของความเป็นจริงนั้นคืออะไร

เราไม่พูดเรื่องอื่นหรอก เราพูดแต่เรื่องภาวนา ...อย่ามาถาม ถามก็ไม่ตอบ...เรื่องอื่น เรื่องโลก ไม่สอนให้คนไปเสียเวลา ไม่แนะนำให้ใครไปเสียเวลากับเรื่องราวในโลก

เพราะมันเสียเวลามาเป็นอเนกชาติแล้ว ก็ไม่สนับสนุนจะให้ไปเสียเวลาต่อเนื่องไปอีก ...ให้เคร่งครัด ไม่ใช่เคร่งครัดภายนอก ...เคร่งครัดอยู่ภายใน ไม่ให้หลง ไม่ให้ลืมเนื้อตัวของตัวเอง

เรียกว่าไม่ลืมเนื้อลืมตัว ให้อยู่กับเนื้อกับตัว..ให้มาก ...จนไม่มีช่องว่างของกิเลสของเรา ให้ออกไปเพ่นพ่านเป็นเสือลากเขี้ยวลากหางอยู่ในที่ทั้งหลายทั้งปวง

มันก็ไปตะลุมบอนกับเสือที่มันออกมาจากคนอื่น แล้วก็กัดกันไปก็กัดกันมา ...เพราะมันไม่ควบคุมระวังรักษากายใจของตัวเอง

มันก็มีอำนาจของ “เรา” ...เหมือนกับเสือ เหมือนกับช้าง เหมือนกับหมี เหมือนกับหมา ไปเห่า ไปกัด ไปขู่ ไปแย่งชิงอะไรกัน...เศษเนื้อเศษกระดูกมั้ง เศษอาหาร หรือขยะ

แค่นั้นก็กัดกันจนปางตายกันแล้ว ไม่ได้รู้จักเลยว่ามันเป็นขยะ ...มาแย่งขยะหรือไงกัน  มาหาความดีความชอบกับกองขยะหรือไงกัน

ถ้าไม่มีปัญญามันไม่เห็นหรอกว่ามันเป็นขยะ มันกลับว่าเป็นเพชรเป็นทองเลย นั่น ...มันกลับมองเห็นว่าศีลสมาธิปัญญาเป็นเหมือนก้อนกรวดก้อนดิน ไม่มีค่าไม่มีราคาเลย

ยอมที่จะทิ้งเนื้อทิ้งตัว ทิ้งรู้ทิ้งตัว ทิ้งสติทิ้งสมาธิปัญญา เพื่อกระโดดเข้าไปมีอารมณ์ สร้างอารมณ์ อยู่ในอารมณ์ อยู่ในกิเลสความโกรธ โลภ หลง  อยู่ในอดีต อยู่ในอนาคต

โดยไม่เสียดมเสียดายความระลึกรู้...รู้ตัวอยู่กับปัจจุบัน หรือศีลสมาธิปัญญาที่มันกองอยู่กับปัจจุบันเลย ...นีี่ เกิดมาตายเปล่า พระพุทธเจ้าท่านเปรียบว่า...โมฆะบุรุษ

บุคคลใดที่เห็นกาย เห็นเนื้อเห็นตัว เห็นศีลสมาธิปัญญาอยู่ที่ไหน ตามความเป็นจริงแล้วคืออะไร ...นี่ พระพุทธเจ้าท่านสรรเสริญ ...แค่เห็นแม้แต่ขณะจิตหนึ่ง ท่านยังสรรเสริญเลย

เนี่ย แปลว่าอะไร ...แปลว่ามันสำคัญนะนี่ ...ที่ท่านอุตส่าห์พากเพียรมาสี่อสงไขยแสนมหากัป เพื่อค้นหาทางมรรคให้เจอเนี่ย

ก็เพื่อมาสอนคนให้รู้จักว่าศีลอยู่ตรงไหน สมาธิคืออะไร ปัญญาคืออะไร ประโยชน์ของศีลสมาธิปัญญาเป็นอย่างไร ที่สุดของศีลสมาธิปัญญาอยู่ตรงไหน

นี่คือเป้าหมายที่ท่านบำเพ็ญมา สี่อสงไขยแสนมหากัป ...เพื่อจะค้นหาแล้วเอามาเปิดเผยให้สัตว์โลกทั้งหลายได้ยินได้ฟัง แล้วทำตามได้

เพราะนั้นพระพุทธเจ้ายังสรรเสริญเลย...แม้ขณะจิตเดียวที่เห็นว่าศีลคืออะไร เกิดแก่เจ็บตายคืออะไร เห็นความเกิดความดับของไตรลักษณ์ของกายของขันธ์ของโลกคืออะไร ...ท่านยังสรรเสริญเลย

แต่พวกเรากลับไปสรรเสริญกิเลสของเรา กลับไปสรรเสริญอารมณ์ ...ใช้อารมณ์เป็นอาวุธ ใช้อารมณ์เป็นเครื่องอยู่ ใช้อารมณ์เป็นเครื่องที่จะสร้างอิทธิพล อำนาจ

นี่ไม่ชื่อว่าเป็นลูกศิษย์พุทธะนะ ...ถึงเป็นลูกศิษย์ก็เป็นลูกศิษย์แต่ชื่อ เป็นแค่พุทธบริษัทแต่ชื่อ แค่ชื่อ ว่าเป็นพุทธ นับถือพระพุทธเจ้า ไหว้พระสวดมนต์บูชา

ซึ่งการบูชานี่มีหลายอย่าง ...ทั้งด้วยเครื่องหอม ดอกไม้ ด้วยอามิส ด้วยสินจ้าง ด้วยเงินทอง ด้วยสิ่งก่อสร้างวัสดุข้าวของ ...แต่พระพุทธเจ้าท่านสรรเสริญการปฏิบัติบูชา

ท่านสรรเสริญการปฏิบัติบูชาคุณพุทธะ ธรรมะ สังฆะ ...ซึ่งมันไม่ต้องลงทุน แต่ต้องลงแรง...ลงแรงกายใจปัจจุบัน ลงแรงที่จะต้องระลึกนึกน้อม โอปนยิโก ทวนกลับมาอยู่กับกายใจเสมอๆ

จนมันได้หลัก จนมันปักหลัก จนมันได้ฐาน ปักฐาน จนมันไม่สั่นคลอน จนมันแน่วแน่ จนมันไม่หวั่นไหว จนมันไม่สะเทือนไปกับสิ่งต่างๆ ที่ผ่านมาและผ่านไป

เหล่านี้ไม่ใช่อยู่ดีๆ มันจะเกิดขึ้นได้เองนะ ...มันต้องทำ มันต้องปฏิบัติ มันต้องเอาความสะดวกสบายเข้าแลก ...มันต้องแลก มันต้องสละสุขส่วนตัว ความอยากได้ความสุขส่วนตัวออกไป

เพราะว่าการที่มันมานั่งรู้ๆๆๆ  ยืนก็รู้ เดินก็รู้  โดยที่ไม่เผลอ ไม่เพลิน ไม่หาย นี่ ...มันเหมือนกับต้องสละความสุขในการเพลิดเพลินออกไป มันต้องสละความสบายใจในการที่ปล่อยให้มันล่องลอยไป 

นี่มันมีความสบายใจ ในการที่ปล่อยให้มันไม่มีหลักไม่มีฐาน ไม่มีรากไม่มีเหง้าน่ะ ...มันต้องสละความเพลิดเพลินเหล่านั้น ความสุขในอารมณ์นั้นออกไป ...ศีลสมาธิปัญญาจึงเจริญงอกงามขึ้นมา

เพราะในอารมณ์น่าใคร่น่ารักเหล่านี้ มันเป็นเครื่องกัดกร่อนรากเหง้า รากฐานของปัจจุบันธรรม ปัจจุบันศีล ปัจจุบันกาย ปัจจุบันรู้ ปัจจุบันเห็น

เพราะฉะนั้น...ก็สละไปเรื่อยๆ สละหมดเลย สละจนหมดเลย จนไม่เหลืออะไรเลย ... นั่นแหละ...จาโค หรือทาน นั่นแหละ คือการให้ทานภายใน

การให้ทานเป็นวัตถุข้าวของภายนอกน่ะ เพื่อให้รู้จักทานภายในคืออย่างนี้หนา นี่คือเป้าหมายของการให้วัตถุทาน ...เพื่อให้รู้จักการสละละออกจากของตัวเอง...ที่รักและหวง

มันหวงนะ...หวงความสุขของตัวเรา มันหวงความสบาย ความที่ว่าไม่ต้องทำอะไร ...มันชอบตรงนั้นน่ะ มันชอบ มันหวงอารมณ์นี้อยู่ 


(ต่อแทร็ก 11/27  ช่วง 2)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น