วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

แทร็ก 11/29


พระอาจารย์
11/29 (560729E)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
29 กรกฎาคม 2556



พระอาจารย์ –  ต้องอยู่กับภาวนา ต้องอยู่กับสติ ต้องอยู่กับความรู้ตัวไว้มากๆ ...อย่าคิดว่าเป็นธุระไม่ใช่ อย่าคิดว่าเป็นเรื่องเอาไว้ทีหลัง  

เอาสนุกไว้ก่อน เอาเผลอเพลินไว้ก่อน อะไรก็ก่อนหน้าภาวนาหมด ก่อนหน้าการรู้ตัวหมด...ไม่ได้ ...ต้องฝึก ต้องทวน ต้องน้อม ต้องคอยระมัดระวัง ต้องคอยทบทวนสังเกตตัวเอง

ขณะนี้อยู่ยังไง ขณะนี้ใจเป็นยังไง จิตเป็นยังไง ...มันคิดดี-มันคิดร้ายอยู่มั้ย  มันอยู่ด้วยอำนาจกิเลสครอบงำอยู่มั้ย มันมีราคะมากมั้ย มันมีโทสะอยู่มั้ย มันมีความไม่รู้เนื้อรู้ตัวอยู่มากมั้ย

ต้องคอยทบทวนตัวเองอยู่เสมอ ...เดี๋ยวนี้มีศีลมั้ย มีการรู้เนื้อรู้ตัวมั้ย มีการตั้งมั่นดีมั้ย มีการรู้เห็นตามความเป็นจริงบ้างมั้ย นี่ ต้องคอยทบทวนตัวเอง

ไม่ประมาท ปล่อยไปตามกระแสน้ำขึ้นน้ำลง ปล่อยไปตามอำนาจของกิเลสที่แวดล้อม ที่มันจะชักจูงให้เรามีอำนาจทำไปตามกิเลสความพึงพอใจ ความไม่พึงพอใจ อย่างงี้อย่างงั้นอย่างโง้นไป

มันจะไม่ได้อะไร มันจะไม่ได้สาระอะไรในการบวชเลย ...ได้แต่โกนหัว มีแผลซิบๆ เลือดออก แค่นั้นแหละ บวชกันแกนๆ ไป ...อย่าให้ได้ชื่ออย่างนั้น 

ให้ได้ชื่อว่าเป็นลูกศิษย์พระตถาคตอย่างเต็มปากเต็มคำ ไม่อายเทวดาอินทร์พรหม ...นี่ไม่ใช่ไม่มีนะ อายมั่ง อายเทวดามั่ง เราว่าเทวดาเขาภาวนายากแล้ว เทวดาแถวนี้เขายังภาวนากันเลย 

แล้วก็คอยดูพระนอนหลับอยู่นี่ ...นอนหลับ เทวดาไม่ว่านะ ดันมานั่งฟังเทศน์แล้วหลับอีก ...อย่าให้มันหลับ ที่จะฝืนไม่หลับนี่ ต้องตั้งใจให้มันใหญ่ไว้...ถ้ามันนั่งหลับน่ะ...ให้มันตายซะดีกว่ามั้ย   

มันต้องขั้นนี้นะ ...ถีนมิทธะนี่ มันครอบคลุมใจไว้อย่างมืดมิดเลย  ถีนมิทธะนี่ มันเป็นนิวรณ์ตัวใหญ่หลวงเลย ...เคยได้ยินไหม "นิ่งหลับ...ขยับแดก" ภาษาเขาว่า

เพราะฉะนั้น อย่าให้มันคุ้นเคยกับอาการนี้  เพราะมันเป็นอาการที่ไม่น่าจะให้เกิดความคุ้นเคยกับมัน ...คือมันเป็นนิสัย แล้วมันจะติดข้ามภพข้ามชาติเลย

เวลามันจะหลับ ...ให้ลืมตาเลย อย่าหลับ  ถ่างตาไว้ ขืนไว้ ฝืนไว้ ...ถ้าไม่ได้อยู่ในการภาวนาในที่รวมกับผู้อื่นอยู่ ก็ขยับเนื้อขยับตัว หรือลุกเปลี่ยนอิริยาบถซะ 

หรือจะลองเอาตีนชี้ฟ้าก็ได้ ดูซิมันจะหลับมั้ย หา เคยมั้ย เอาหัวตั้งลงกับพื้นน่ะ แล้วเอาขา..ตีนชี้ฟ้า  ดูซิมันจะหลับได้มั้ย ...นี่ ถ้ามันตั้งใจจะสู้กันจริงๆ แล้วมันมีวิธีสู้เยอะแยะ

อย่างเดินจงกรมนี่ จะหลับเหรอ ...ก็หลับตาเดิน ลองดู ...ถ้ามันยังหลับได้อีก ถอยหลังเดินจงกรมโว้ย ลองดู มีวิธีสู้เยอะแยะ ถ้าจะเอากันจริงๆ อ่ะนะ

ไม่ใช่อะไร กูนี่แหละทำมาแล้ว ลองมาหมดแล้ว มันยังเสือกหลับเลย นี่ เอาสิ ...แต่ว่าทั้งหมดแล้วมันจะรวมลงที่สติ ...คือใช้อุบายอะไรก็แล้ว มันยังตามหลอกตามหลอน ตามล่อ ให้หายไปในภวังค์น่ะ

สุดท้ายแก้ยังไง ...แก้ด้วยสติ แก้แบบเผชิญกันเลย ตายเป็นตาย ...รู้ๆๆ รู้ว่าง่วง กำลังง่วง...รู้  รู้ว่ากำลังง่วง มันจะกำลังซึม กำลังค่อยๆ หรี่ลง...รู้ นี่

ใจจะขาดน่ะ ใจแทบขาด ...พอมันหรี่ เหมือนกับสายเอ็นสายใยมันจะขาดหาย ...สติ ตื่น หูย มันดึงกัน กว่าที่มันจะขาดแบบสะบั้นลงไปในถีนมิทธะ

นี่ โมหะ ของความหนักความซึมมันหาย ...เหมือนกับเปิดสปอตไลท์ขึ้นมาเลย..ขาดแล้ว เหมือนกับพลิกหน้าตีนเป็นหลังมือ...สว่างน่ะ แบบถีนมิทธะไม่กลับมาอีกเลยน่ะ

ไม่ว่าจะนั่งอยู่ท่าไหน จะง่วงขนาดไหน ไม่มีคำว่าสับนก ไม่มีคำว่าหายไป ...กิเลสโมหะนี่ไม่ได้กินเลย ถีนมิทธะไม่ได้กลับมากิน ...นี่ ใช้อุบายมาเยอะมันยังไม่รอดเลย ...ก็ใช้สติเข้ามาฟาดฟันกันตรงๆ

นี่ ในหลักอย่างนี้ เข้าใจมั้ยว่ามันไม่ใช่ถีนมิทธะตัวเดียว ...กิเลสทุกตัวเลย ไม่ว่าจะเป็นตัวราคะ ไม่ว่าจะเป็นตัวโทสะ ไม่ว่าจะเป็นตัวปฏิฆะ ไม่ว่าจะเป็นตัวกลัว ตัวความหดหู่ ความกังวล

เหมือนกันแหละ รูปแบบเดียวกันแหละ...เอาสติเข้าแลก เอาชีวิตเข้าแลกตรงนั้นเลย ตั้งใจมั่นว่าจะทำความรู้อยู่กับสิ่งนั้นๆ จำเพาะธรรม จำเพาะเบื้องหน้านั้น

เห็นมั้ยว่า พอมันเข้าแก้วิธีเดียว หลักเดียวแล้วนี่ ...มันแก้ได้หมด ไม่ว่าจะเป็นกิเลสหยาบ กลาง ละเอียด ประณีต สุดละเอียด สุดประณีต ...ก็วิธีเดียวนี่

คือวิชามรรค วิชามัชฌิมาปฏิปทา...แก้ได้หมด ...จนมันลุล่วง ตลอดๆๆๆ  แทงตลอด แทงออกตลอด  สลายหมดๆ ...คงไว้แต่รู้ คงไว้แต่ใจผู้รู้อยู่

แต่มันต้องซีเรียสนะ คร่ำเคร่งเลยนะ ทุกเม็ด...เข้าใจคำว่าทุกเม็ดมั้ย ...ไม่ใช่เช้าชาม...เย็นครึ่งชาม เช้าอีกเสี้ยวชาม  วันดีคืนดี สองชามเลย  มื้อเย็น จะได้นอนหลับสบาย ...ไม่ใช่อย่างงั้น

ตลอด...ตลอดไม่ขาดเลย ไม่เว้นเลย ไม่ว่างเว้นจากธุรการงานในศีลสมาธิปัญญา ...ต้องอย่างนั้นจริงๆ 

แล้วถึงขั้นนั้นแล้ว ก็อยู่ตรงนั้นน่ะ ...ไม่นานเกินรอหรอก ให้มันได้อย่างงั้นเถอะ  ให้มันพีค ให้มันได้จุดที่พีคก่อนเหอะ  แล้วพอมันถึงจุดที่มันพีคที่สุดแล้วน่ะ ไม่นานเกินรอ

แต่ไอ้ที่มันนานนี่ คือกว่าจะเข้าถึงจุดพีคนี่สิ จุดที่เรียกว่าจะเข้าถึงมหาสติ มหาสมาธิ มหาปัญญานี่  และห้ำหั่นกันอยู่ในมหาสมาธิ มหาปัญญา...ตรงนั้นไม่นาน

แต่ไอ้กว่าที่จะเข้าถึงจุดพีคนี่สิ เลือดตาแทบกระเด็น ...มันต้องทวนกับกิเลสตัวเอง ทวนกับความเห็น ความอยากของเรา ความคิดของเรา ...ตัวเรานี่

ตัวเรานี่เป็นตัวขวางกั้น ตัวบักใหญ่เลย ...กว่าจะแกะมันออก กว่าจะลบล้างมันออกนี่ กว่าจะทำลายคุณค่าของมันออกไปนี่...ด้วยความเพียร ด้วยสติ ด้วยปัญญานี่

กิเลสไม่ได้อยู่ไกลอยู่ใกล้อะไร อยู่ตรง "ตัวเรา" นี่ ...มันนั่งทับกิเลส นอนทับกิเลส ยืนบนกองกิเลส เดินเหินบนกองกิเลส หยิบอะไรก็ป้อนใส่กิเลส ...คือป้อนใส่ “เรา” นะ ไม่ได้ป้อนใส่ขันธ์นะ

เวลากินเวลาดื่มนี่ มันป้อนใส่ให้กิเลสตัวเรานะ มันไม่ได้ป้อนเข้ามหาภูตรูป ๔ เลย นี่ ไหงมันผิดช่องได้ก็ไม่รู้ ...ป้อนข้าวป้อนน้ำให้กิเลสตลอดวัน ตลอดทุกวันไป

มันไม่ได้ป้อนเข้าขันธ์น่ะ มันไม่ได้ป้อนเข้ามาหล่อเลี้ยงมหาภูตรูป เพื่อให้เกิดบรรเทาเวทนาใหม่ไม่ให้กำเริบ บรรเทาเวทนาเก่าที่กำเริบ ...มันเป็นไปเพื่อการนั้นมั้ย หรือเป็นไปเพื่ออำนาจของเรา

เนี่ย กินไม่เป็น เดินก็ไม่เป็น นั่งก็ไม่เป็น ยืนก็ไม่เป็น ...ไม่เป็นขันธ์ แต่เป็นเรา...ก็เรียกว่ายืนไม่เป็น กินก็ไม่เป็น ไปมาก็ไม่เป็น ...ไม่เป็นไปตามขันธ์ แต่เป็นไปตามอำนาจของเรา

เห็นมั้ยว่า กิเลสมันแนบชิดติดเนื้อติดตัวขนาดไหน จนไม่มีเวลาว่างไม่มีเวลาเว้น  แล้วยังมาบอกว่า...รอก่อน เดี๋ยวก่อน ถึงเวลาซะก่อน ให้ได้อายุซะก่อน

สุดท้ายก็ตายซะก่อน ชาติหน้าค่อยทำต่อ ...นั่น มันผลัดไปจนวันตายก่อน เกิดมาใหม่ค่อยทำอีกทีนึง เพราะว่าน่าจะได้ทัศนะวิสัยหรือว่าสัปปายะอันประเสริฐกว่านี้

ไอ้นั่นก็ไม่ใช่จริต ไอ้นี่ก็ไม่ใช่สัปปายะ ...หากันอยู่นั่นน่ะ ภาวนาจะให้ถูกจริต ถูกสัปปายะ ...ก็ไม่ตรงสักที ก็เลยไม่เกิดผลขึ้นสักที เพราะมัวแต่รอบทภาวนาที่มันตรงกับจริต

อะตีตัง นานวาคะเมยยะ ...มันล่วงไปๆ อดีตน่ะ หวนคืนไม่ได้นะ ...ก็ยังมัวแต่หาบทภาวนา วิธีภาวนากันอยู่

ถึงบอกว่าสติเนี่ย การระลึกกับกายในปัจจุบันนี่ เป็นแม่แบบที่จะหล่อหลอมศีลสมาธิปัญญาให้มารวมเป็นที่เดียวกัน ...ให้จำไว้เลย สติเป็นแม่แบบ หล่อหลอมศีลสมาธิปัญญาให้รวมเป็นหนึ่งในปัจจุบัน

ทำสัมมาสติตัวนี้ให้เกิดมากๆ มากกว่าไปนั่งหลับ หรือนั่งเลื่อนลอย...ไปในความง่วงเหงา ไปในความไม่รู้ตัว ไปในความสงบก็ตาม

ถ้าไม่มีสติที่เป็นสัมมาสติเมื่อไหร่ ...สัมมาศีล สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา สัมมาญาณ ไม่เกิดเลย ...มันเป็นเหมือนแบบแม่เลี้ยง พี่เลี้ยง ...สติ..เป็นธรรมที่มีอุปการะต่อธรรมในองค์มรรค

ฝึกให้มาก...สำหรับคนที่ไม่เคยฝึก และไม่เคยตั้งใจจะฝึกจริงๆ จังๆ กับการตั้งสติขึ้นกับปัจจุบันกาย ...ส่วนพวกที่เคยฝึกแล้ว กำลังฝึกอยู่...ก็ให้เข้มข้นกว่านี้

อย่าทำตัวเป็นกระเชอก้นรั่ว ก้นแหว่ง ก้นขาด ทะลุอยู่ตลอด...แล้วก็รู้สึกว่าไม่ผิดเลย ...มันจะรู้สึกผิดก็ต่อเมื่อถูกเราด่า ...อย่างนี้ไม่ได้ ต้องด่าตัวเองเยอะๆ

“มันจะไปอยู่กับผีนรกรึไง มันจะมาเกิดตายซ้ำซากวนเวียนอยู่อย่างนี้ีหรือ” ...ด่ามันเถอะ ว่ามันซะบ้าง มันจะได้กระตุ้นให้เกิดการระลึกรู้ขึ้น ไม่ขี้เกียจขี้คร้าน

ไม่ปล่อยปละละเลย ไม่ประมาทมัวเมาไปกับอาการในโลก ไปกับอาการของกิเลสของเรา ...นี่ เดี๋ยวก็จะเห็นหลักชัยหรือธงชัยของพระอรหันต์อยู่ลิบๆ 

เห็นลิบๆ ยังดีนะ ยังดีกว่าไม่เห็นนะ  ยังพอตามได้ พอยังเห็นช่องได้ว่า...เออ นั่นแหละ เส้นทางของพระอรหันต์ เรียกว่าธงชัยพระอรหันต์ 

เนี่ย ที่หลวงปู่ท่านปักธงไว้บนยอดเสา ท่านบอกว่าเป็นธงชัยของพระอรหันต์ เป็นนิมิตหมาย เส้นทางของมรรคเหมือนกัน ...ถ้าปฏิบัติไปเรื่อยๆ มันจะเห็นว่า เออ เนี่ย ธงชัยพระอรหันต์อยู่ข้างหน้าแล้ว

แต่ตอนนี้มันไม่เห็นว่าอยู่ไหน มีแต่ว่า...ช่องนั้นก็น่า ช่องนี้ก็น่า ช่องนู้นก็น่า หรือช่องไหนกันแน่วะ ...เนี่ยเขาเรียกว่ายังไม่ชัดเจนในองค์มรรค ยังสงสัยอยู่

เพราะนั้น เอาตัวสตินี่เป็นหลัก แล้วกำกับไว้กับปัจจุบันกาย...แค่นี้ก่อน สำหรับคนที่ไม่เคยทำ ...คนที่เคยทำแล้วก็พยายามย้ำ ย้ำๆๆๆ ...เดี๋ยวก็ตามทัน ตามหลังพระอรหันต์ทัน


เอ้า พอ เหนื่อยแล้ว ...ไปนอนกันซะ หรือจะไปตื่นกันซะก็ไป แล้วแต่ ช่วยไม่ได้ ...จะไปตื่นหรือไปนอนนี่ก็ไม่ใช่ธุระของเรา เพราะเราไปช่วยไม่ได้

มันต้องช่วยตัวเอง สองมือสองตีน สองแขนสองขา จะไปทำให้มันตื่นหรือจะไปสนับสนุนให้มันหลับ ...ไอ้สนับสนุนให้มันหลับนี่ไม่ต้องสนับสนุนหรอก มันหลับมาตั้งแต่ก่อนจะเกิดแล้ว

แต่ไอ้ตื่นนี่ต้องสนับสนุนกัน  ขวนขวายขึ้นมา ลุกขึ้นตื่นขึ้นๆๆ อยู่ภายใน อย่าไปกระโดดโลดเต้นภายนอก ...ให้มันลุกขึ้นตื่นขึ้นๆ  alert นั่น จิตตื่น  alert ในความรู้...ตื่นขึ้น

เอากายเป็นเครื่องปลุกสติ ...มันหลับมันไหลมานานแล้วใจนี่ มันถูกคลุมไว้ ...ก็เอาสติระลึกตรงนี้ มันก็ไปปลุกให้ตื่นขึ้น ...อย่าทำตัวเป็นนารายณ์บรรทมสินธุ์ อยู่ใต้เกษียรสมุทร

ตื่นขึ้นสักหน่อย ปลุกให้ตื่นขึ้น ด้วยสติในกาย ปัจจุบันกาย ...อย่าไปตื่นกับกายคนอื่น เดี๋ยวมีเรื่อง เดี๋ยวได้เรื่อง เดี๋ยวไม่รู้จักจบเรื่องนะ ...เห็นมั้ย ต้องกายเดียวนะ ต้องกายปัจจุบัน กายใครกายมัน ใจใครใจมัน

พอมันตื่นแบบเอาเปลือกตาออก ...นั่นแหละ อริยะจิตบังเกิด...ข้ามโคตร ไม่มาแซ่เบ๊แซ่ลิ้มแล้ว เป็นอริยกะแล้ว ...แต่ว่าเอาเปลือกตาออกให้ได้ก่อน อย่าเอามันไว้

ไปทำกันเอง ...บอกแล้ว บอกโดยนัยยะ บอกทั้งโดยตรง บอกทั้งโดยอ้อม บอกทั้งเบื้องล่างจรดเบื้องบน บอกตั้งแต่วงกลมรอบอนันตาจักรวาล ...บอกหมดแล้ว ไปหานัยยะเอาเอง

ภาษาหลวงปู่ท่านว่า เบื้องบนตั้งแต่ภวัคพรหมลงมา เบื้องล่างตั้งแต่อเวจีมหานรกขึ้นมา วงกลมหมื่นจักรวาลแสนโกฏิจักรวาล อนันตาจักรวาล ...พูดหมดแล้วนะเนี่ย

ถ้ามันทำไม่เป็น ก็เอาหัวไปจิ้มขี้ตายซะ คือมันโง่ได้ปานนั้นก็ไม่ต้องมาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ...ศีลสมาธิปัญญามันไม่ใช่ของที่มันยาก แบบโอ้โห ต้องลงทุนอย่างยิ่ง

ก็แค่นี้ นั่งแล้วก็รู้ว่านั่ง จบ ...เนี่ย รู้ไปๆ โง่ๆ นี่แหละ เดี๋ยวก็จะได้มรรคได้ผลแบบโง่ๆ มาเหมือนกันนั่นแหละ ลองดูเถอะ ...ขอให้ทำให้จริงเหอะ ให้รู้โง่ๆ ไปเถอะ

แล้วจะเข้าใจเองว่า...อ๋อ กูมานั่งกับก้อนอะไรวะเนี่ย ...เออ นี่ เริ่มเห็นดีเห็นงามตามธรรมแล้วนะ เมื่อมันรู้สึก...กูไปนั่งกับก้อนอะไรวะเนี่ย ...ก็เริ่มเห็นดีเห็นงามตามธรรมแล้ว ไม่ใช่ตาม “เรา”

แต่ตอนนี้มันตาม “เรา” อยู่  มันตาม “เราว่า” อยู่ ...เพราะไอ้ “เรา” นี่คือตัวพระเอก แต่มันเป็นพระเอกที่ใส่หน้ากากของผู้ร้าย แต่ว่าหน้าตามันเป็นพระเอกแบบเรา...เป๊ะเลยน่ะ 

ตัวเรานี่...พระเอก นางเอกน่ะ ...แต่เมื่อกระชากหน้ากากออกเมื่อไหร่นี่ จะเห็นว่ามันโคตรร้ายกาจเลย นะ 

เพราะนั้นเอาให้มันเห็นตัวเอง เห็นตัวเรา เห็นทั้งกายตามความเป็นจริง แล้วก็เห็นทั้งกายเรา ...แล้วดูไปเรื่อยๆ ก็จะเห็นว่ากายเรากับกายตามความเป็นจริง...อันไหนจริงกว่ากัน 

เพราะนั้น...ถ้าไม่กลับ ไม่ย้อนกลับมานะ มันจะไม่เห็น ...แล้วมันจะแยกไม่ออก  แล้วมันจะเอาแต่กายเราน่ะเป็นหลัก เป็นใหญ่

แต่ถ้าดูไป มันจะเห็นจุดเชื่อม รอยต่อ ที่มันไม่ใช่อันเดียวกัน ...นั่นน่ะเขาเรียกว่า ร่องรอยอยู่ตรงนั้น ร่องรอยของมรรค ร่องรอยของปัญญา 

คือร่องรอยของคมมีดที่จะกรีดออกจากกัน แล้วไม่หวนคืนมาอีก ...เรียกว่าตัดขาด


...................................




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น