วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

แทร็ก 11/28 (2)


พระอาจารย์
11/28 (560729D)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
29 กรกฎาคม 2556
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 11/28  ช่วง 1

พระอาจารย์ –  นี่คือไม่ได้เปรียบเทียบกับใคร ...ก็เปรียบเทียบภายในนี่...มีให้ดูตั้ง ๓๐-๔๐ เที่ยวต่อหนึ่งวัน ...ก็สังเกตดู ...เออ เวลามันมีทุกข์เยอะๆ แล้วมันไม่ค่อยหนีไปไหนโว้ย

มันต้องอยู่กับตรงท่อนขา ตรงหลัง ตรงไหล่นี่  ตรงเหงื่อแตก ตรงร้อน อึดอัด ...นี่ ตรงนี้ รู้สึกมันอยู่กับเนื้อกับตัวดี  แต่พอเททิ้งแล้ววิ่งลงมาเอาใหม่ เดินลงมาเอาใหม่ ...นี่ มันลอย

มันเห็นนี่เราก็จับพิรุธของความเผลอความเพลินได้ ก็เอาใหม่ ...นี่ฝึกกับตัวเองอย่างนี้เงียบๆ ...เงียบๆ ด้วยนะ ไม่ได้ไปบอกว่า...เอ่อ ผมกำลังภาวนาอยู่นะครับ ห้ามยุ่งนะครับ 

หรือไปติดป้ายเขียนไว้กลางกะโหลก...ว่าภาวนาอยู่โว้ย ถึงไม่พูดนี่  ...ก็ไม่ได้พูด ไม่ได้เขียนไว้  ก็ทำเหมือนไม่ได้ทำอะไรนั่นแหละ ทำงานปกติ สั่งงานชี้นิ้วบอกได้

แต่ว่าภายในก็ทำของเราไป ไม่ได้กระโตกกระตาก ...จนทุกวันนี้เขายังบอกเราไม่ได้ภาวนาเลย ...ก็ไม่ได้ว่าอะไร มันเป็นเรื่องส่วนตัว เป็นเรื่องปัจจัตตัง ...แต่ก็เห็นคนมาฟังกับเราทั้งวัน ทุกวัน

เนี่ย กว่าที่มันจะปักหลักปักฐานขึ้นได้นี่ เราไม่ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปแบบเอาคืนไม่ได้นะ  แล้วพอเรามองย้อนกลับไป เราไม่เสียดายเวลาเลย ...แต่พวกเราตอนนี้...มองย้อนกลับไปสิ เสียดายเวลามั้ย 

มีแต่ว่า “นึกว่าน่าจะได้เจออาจารย์สักสิบปีที่แล้ว” นี่ มันเสียดายเวลาที่ผ่านมา ...แล้วมันหมดเวลาไปกับอะไร แล้วมันได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน พอให้จับ พอให้ยึด พอให้มั่น พอให้เป็นที่พึ่งได้มั้ย 

นี่ ท่านถึงบอกว่าศีลสมาธิปัญญาเป็นที่พึ่ง พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งนะ ...แล้วเราถามว่าไอ้ที่พวกเราทำมาตลอดชีวิตยี่สิบ สามสิบ สี่สิบ ห้าสิบปีนี่ ...มันเอาอะไรเป็นที่พึ่งจริงๆ จังๆ ได้มั้ย 

บ้านเหรอ รถเหรอ คิดว่ามันเป็นที่พึ่งได้มั้ย  ความมีชื่อเสียง มีหน้าตาในสังคม คิดว่ามันจะเป็นที่พึ่งจริงๆ ได้มั้ย ...เวลาเจ็บกำลังจะตายนี่ หือ มันเป็นที่พึ่งที่ประกันได้ไหมว่าการเกิดการตายนี่น้อยลง 

เห็นมั้ยว่า อะไรเป็นที่พึ่งอันประเสริฐ อะไรเป็นที่พึ่งที่แท้จริงล่ะ ...แล้วพวกเรามีศีล มีสมาธิ มีปัญญาพอที่จะเป็นที่พึ่งที่แท้จริงกันแล้วหรือยังล่ะ

แต่ถ้าถามเรา...เราไม่เสียดายเวลาเลย แม้มันจะทุรกันดาร เร่าร้อน เสียดแทงมาตลอด ...การอยู่การกินนี่ อยู่แบบอดอยากปากแห้ง ไม่ได้สมบูรณ์พูนสุขหรอก

อย่านึกว่าอยู่กับครูบาอาจารย์ระดับหลวงปู่แล้วมันเพียบพร้อมไปหมดนะ มันมาเพียบพร้อมสมัยนี้ต่างหาก ...ครูบาอาจารย์ท่านไม่ปล่อยให้สบายเกินไปหรอก

เพราะมัน...เหมือนที่เราบอกไง ...เวลาลำบาก เวลาแบกของ สติมันจะพออยู่ ...แต่พอเวลามันทิ้งของแล้วเดินลงมาสบายๆ เรายังสังเกตเห็นเลยว่า ใจมันลอย มันเผลอเพลิน

แล้วครูบาอาจารย์ท่านก็รู้ ท่านก็เลยวางยาไว้ ...คือสอนภายนอกนี่ก็สอนนะ แต่ไม่ได้บอกว่าสอน ...เพราะท่านก็ไม่ได้เขียนว่านี่เป็นการสอนโว้ย ไม่ได้บอก

ภายในท่านก็สอน เทศน์ทุกวันเช้า-ค่ำ ตีสามเทศน์-ทุ่มนึงเทศน์ ...เห็นมั้ย ครูบาอาจารย์ท่านก็สอนทั้งภายในภายนอก แต่ท่านไม่ได้บอกว่าตอนนี้ๆ เป็นการสอนนะ 

คือใครจับได้ก็เอาไป ถ้าใครจับไม่ได้ก็หนีไปอยู่ที่อื่น วัดอื่นที่เขาไม่มีงาน ...นี่ งานก็งาน ยังแถมขึ้นบันไดอีกต่างหาก จะหาอยู่หาบิณฑบาตทีก็เหนื่อย

สมัยเราบิณฑบาตนี่ถนนไม่มีลาดยางนะ เป็นหิน  เคยเห็นมั้ย ไอ้หินภูเขาน่ะ ดำๆ น่ะ  ไม่ใช่หินเกล็ด ไม่ใช่หินคลุกนะ ไอ้หินแหลมๆ แกรนิตน่ะ ปูถนนนี่

เดินทีเลือดนี่เต็มฝ่าตีน เดินไปนี่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเลย ...ใหม่ๆ นี่ ย่องน่ะ ไม่เรียกว่าเดินนะ ย่องน่ะ ...เป็นหลายเดือนนะกว่าตีนมันจะด้านน่ะ ก็เดินจนตีนด้าน 

พอตีนด้าน คราวนี้เลือดมันไม่ออกแล้ว เออ พอเลือดไม่ออก เดินได้...ดันมาทำลาดยาง ซวยเลยกู เป็นงั้นน่ะ ...แต่เดี๋ยวนี้เดินสบาย มันยังเสือกใส่รองเท้ากัน 

เห็นมั้ยว่าเวลามันทุกข์ เวลาเจออะไรบีบคั้นในกายในใจนี่ มันทำให้แกร่ง ...มันหนีไม่ได้ แล้วมันอยู่ในภาคบังคับอย่างนี้ มันเป็นการฝึกที่ไม่ได้ตั้งใจจะฝึกเลยน่ะ

สติก็ต้องอยู่ สมาธิก็ต้องอยู่ ...มันจะไปไหนได้ล่ะ ก็ต้องคอยดูว่ากูจะเหยียบอะไรแหลมๆ มั้ย เนี่ย ไม่มีสติกูก็คงเหยียบแล้ว ใช่มั้ย ...เนี่ย ทุกข์นี่มันสอนนะ สอนให้มันระมัดระวัง อยู่กับเนื้อกับตัว

แต่ในระหว่างนั้นมันก็มีการจ่มด่า...ด่าทั้งตัวเอง ด่าทั้งถนน ด่าทั้งคนสร้างถนน ด่าหมด ทำไมมันไม่ทำให้มันเรียบกว่านี้วะ หรือมันหาอะไรมาปูสักหน่อย ทำไมจะต้องเอาไอ้หินพรรค์นี้มาถมวะ

นั่น น.พ.ค. เขาทำ ทหาร เขาเอาหินภูเขาอย่างนี้มาทำ ไม่มีบดอัดน่ะ ...ก็เดินกันจนตีนด้านน่ะ ...แล้วก็ค่อยๆ ก่อร่างสร้างขึ้นมา ภายนอกนี่ก็มาทำช่วงหลัง ช่วงบั้นปลายของหลวงปู่นี่

ภายในก็ทำขึ้น ก่อร่างสร้างวัดภายในขึ้นเหมือนกัน ...วัดภายนอกก็ทำไป ไอ้วัดภายในของเราก็ทำ โดยไม่ได้ไปป่าวประกาศว่ากำลังทำอยู่ให้ใครรู้ให้ใครเห็น ...ถือว่าเป็นการเคี่ยวกรำ

เพราะนั้นว่า มันจะเป็นภาวะที่บีบคั้นทั้งภายในและภายนอก ...ก็อดทนอย่างเดียวน่ะ เหมือนอย่างคติที่ท่านเขียนไว้ว่า “ทุกข์ไม่ต้องบ่น อดทนเอา”

ก็บ่นแล้วมันสบายใจไง หมายความว่ามีเพื่อนร่วมสุข มีทุกข์ร่วมเสพ ...คือมันได้คลาย ได้ระเบิด ได้ระบาย ได้มีคนรับทราบ แบกทุกข์ร่วมกัน มันเลยคลาย

หลวงปู่ท่านบอก...ไม่ต้องบ่น อดทนเอา  บ่นภายนอกก็ไม่ต้องบ่น บ่นภายในก็ไม่ต้องบ่น ...แต่ไอ้บ่นภายในนี่ห้ามยากนะ มันก็บ่นเหมือนหมีกินผึ้งอยู่อย่างงั้นน่ะ

กว่าที่จะกำราบมันน่ะ กำราบจิตน่ะ มันจะต้องอดทนจนชาชินน่ะ ซ้ำแล้วซ้ำอีกๆ ...แล้วเราไม่ยอมหนีน่ะ ถ้าเราหนีก็เสร็จมันแล้ว ...คือเรามีกรรมผูกพันกับหลวงปู่ เคยเป็นครูบาอาจารย์กันก็เลยไม่หนีกัน

เพราะก็ไม่ใช่ว่ามีพระอยู่ได้ตลอดนะ มาเช้า-เย็นกลับก็ยังมี...มาเจอหลวงปู่กำลังนั่งอยู่ข้างล่าง แล้วพระกำลังแบกหินกันอยู่นี่  เพิ่นมากราบ วางบาตรวางกลดกราบหลวงปู่เสร็จ

หลวงปู่ท่านบอก “ยังไม่ต้องขึ้น ถอดจีวรท่าน แบก หลวงพี่ไปแบกก่อน” ...แบกได้หนึ่งเที่ยว มาปุ๊บ ลาหลวงปู่เลย...ไปแล้วครับ ...นี่ เห็นมั้ย หลวงปู่ไม่ต้องไล่เลย

ลำบาก สมัยก่อนลำบาก โดนเคี่ยวมาหมด กว่าจะเป็นผู้เป็นคน กว่าจะตั้งเนื้อตั้งตัวขึ้นมา ...ก็ไม่ได้ต่อต้าน ไม่ได้ต่อสู้ภายนอกเลย ...เราเชื่อพระพุทธเจ้า แก้ที่เหตุ เราไม่แก้ภายนอก

ซึ่งแรกๆ มันจะแก้ให้ได้..ภายนอกนี่ ...แต่ด้วยอาศัยว่าครูบาอาจารย์คอยกำราบ สุดท้ายก็ต้องแก้ที่ภายในที่เดียว โดยที่ไม่จำยอม ...แรกๆ มันจะไม่จำยอมนะ

คือเรานี่เป็นคนไม่ยอมคน ดูหน้าเราสิ จะมายอมกับไอ้ส้นตีนนี่เหรอ ...นี่ ลึกๆ นะมันมี ไม่กลัวใคร ...กลัวหลวงปู่คนเดียว ยอมหลวงปู่คนเดียว

นี่ ถ้าไม่ใช่ครูบาอาจารย์นะ ก็ไม่สามารถตั้งเนื้อตั้งตัวได้ ...ก็ตั้งรากตั้งฐานของศีลสมาธิปัญญา เข้าไปค้นคว้าในเหตุที่แท้จริงได้

จิตน่ะ มันจะหาเรื่องลูกเดียว จะเอาเรื่องอย่างเดียว จะต้องให้เป็นเรื่องให้ได้ ...เห็นมั้ย เนี่ย “เรา” อำนาจของเรา อำนาจของจิต มันมีแต่จะสร้างเรื่อง จะให้มีเรื่องให้ได้

โดยเข้าใจว่ามีเรื่องแล้วมันจะได้จบเรื่อง เออ มันว่าของมันอย่างนั้นนะ ...ดีเราไม่เสียทีเสียท่าไปกับมัน ถ้าไม่ได้ครูบาอาจารย์เป็นกำแพงแล้วนี่

เพราะตั้งแต่วันแรกที่เรามากราบหลวงปู่ มาบวชนี่  ท่านบอกว่าไม่ต้องไปไหน อยู่จนกว่าดอยมันจะแตกน่ะ (หัวเราะ) ...เหมือนกับปิดประตูเลย ห้ามไปอยู่ที่อื่น

เราถึงเห็นว่าการปฏิบัติภาวนานี่ ไม่ใช่ของเล่นๆ  มันต้องผ่านการเคี่ยวกรำจริงๆ  ไม่เคยทอดธุระ ไม่เคยทิ้งเลย แม้จะห่างไปบ้างบางเวล่ำเวลาที่กิเลสมันขี่คอ อารมณ์มันขี่คอ

แล้วมันอยู่ภายใต้อำนาจของความขุ่นมัว โทสะ หรือความเบื่อในสภาพที่มันแก้ไม่ได้ซ้ำซากบ้าง ...แต่ก็ไม่เคยที่จะหลุดจากการที่จะน้อมกลับมาอยู่กับภาวนา...ในปัจจุบันกาย ปัจจุบันรู้ ในดวงจิตผู้รู้นี้

ได้นิดก็เอานิด ได้หน่อยก็เอาหน่อย ได้มากก็เอามาก ถ้าได้ขึ้นขี่คอนี่ไม่ยอมปล่อยเลย ...นี่ ทำกันอย่างนี้ 

ที่ว่ากว่าจะได้ขี่คอนี่ ...ขี่คอคืออยู่กับศีลอยู่กับสมาธิปัญญา...เป็นเครื่องทรง นี่ เป็นเหมือนเสื้อผ้า เป็นอาภรณ์ เรียกว่าไม่หลุด ไม่ขาด ไม่ลุ่ย ไม่หายเลย

กว่าจะได้ท่า ได้ช่อง หรือว่าจับได้มั่นคั้นได้ตายนี่ ...มันก็ไล่มาจากทีละเล็ก ทีละหน่อย ...ก็ไหลไปตามกิเลสบ้าง เผลอเพลิน หรือแสดงอำนาจบาตรใหญ่ไปบ้าง แต่ไม่ทอดธุระในศีลสมาธิปัญญา

จนหลวงปู่ท่านล่วงลับ มาถึงยุคเรา พวกเรา สมัยเรานี่...ก็อย่าทอดธุระในการภาวนา  อย่าได้ชื่อว่าเป็นพระป่า ได้ชื่อว่ามาอยู่สำนักหลวงปู่แล้วมันจะได้ธรรมะติดตัวไป มันจะได้ศีลสมาธิปัญญาติดตัวไป

ถ้ามันคิดอย่างนั้นแล้วไม่ภาวนาจริงๆ จังๆ  มันก็จะได้แต่ความเลอะเทอะเปรอะเปื้อนกลับคืนไป ..เพราะในที่ไหนๆ มันก็มีคน แล้วมันก็มีกิเลสในคน...แปลกปลอม ปนเปื้อน สะสม แทรกซึมอยู่หมด

แล้วมันก็มาผสมน้ำ ผสมยา เรียกว่าขนมผสมน้ำยากัน ...ก็คือตัวเองก็มีกิเลสอยู่แล้ว ภายนอกก็มีกิเลสแวดล้อมอยู่แล้ว ผสมกันก็อร่อยเลย  ทีนี้ก็หาผักแกล้มกินกันสนุกปาก นี่...มันต้องระวัง


(ต่อแทร็ก 11/29)




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น