วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

แทร็ก 11/29


พระอาจารย์
11/29 (560729E)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
29 กรกฎาคม 2556



พระอาจารย์ –  ต้องอยู่กับภาวนา ต้องอยู่กับสติ ต้องอยู่กับความรู้ตัวไว้มากๆ ...อย่าคิดว่าเป็นธุระไม่ใช่ อย่าคิดว่าเป็นเรื่องเอาไว้ทีหลัง  

เอาสนุกไว้ก่อน เอาเผลอเพลินไว้ก่อน อะไรก็ก่อนหน้าภาวนาหมด ก่อนหน้าการรู้ตัวหมด...ไม่ได้ ...ต้องฝึก ต้องทวน ต้องน้อม ต้องคอยระมัดระวัง ต้องคอยทบทวนสังเกตตัวเอง

ขณะนี้อยู่ยังไง ขณะนี้ใจเป็นยังไง จิตเป็นยังไง ...มันคิดดี-มันคิดร้ายอยู่มั้ย  มันอยู่ด้วยอำนาจกิเลสครอบงำอยู่มั้ย มันมีราคะมากมั้ย มันมีโทสะอยู่มั้ย มันมีความไม่รู้เนื้อรู้ตัวอยู่มากมั้ย

ต้องคอยทบทวนตัวเองอยู่เสมอ ...เดี๋ยวนี้มีศีลมั้ย มีการรู้เนื้อรู้ตัวมั้ย มีการตั้งมั่นดีมั้ย มีการรู้เห็นตามความเป็นจริงบ้างมั้ย นี่ ต้องคอยทบทวนตัวเอง

ไม่ประมาท ปล่อยไปตามกระแสน้ำขึ้นน้ำลง ปล่อยไปตามอำนาจของกิเลสที่แวดล้อม ที่มันจะชักจูงให้เรามีอำนาจทำไปตามกิเลสความพึงพอใจ ความไม่พึงพอใจ อย่างงี้อย่างงั้นอย่างโง้นไป

มันจะไม่ได้อะไร มันจะไม่ได้สาระอะไรในการบวชเลย ...ได้แต่โกนหัว มีแผลซิบๆ เลือดออก แค่นั้นแหละ บวชกันแกนๆ ไป ...อย่าให้ได้ชื่ออย่างนั้น 

ให้ได้ชื่อว่าเป็นลูกศิษย์พระตถาคตอย่างเต็มปากเต็มคำ ไม่อายเทวดาอินทร์พรหม ...นี่ไม่ใช่ไม่มีนะ อายมั่ง อายเทวดามั่ง เราว่าเทวดาเขาภาวนายากแล้ว เทวดาแถวนี้เขายังภาวนากันเลย 

แล้วก็คอยดูพระนอนหลับอยู่นี่ ...นอนหลับ เทวดาไม่ว่านะ ดันมานั่งฟังเทศน์แล้วหลับอีก ...อย่าให้มันหลับ ที่จะฝืนไม่หลับนี่ ต้องตั้งใจให้มันใหญ่ไว้...ถ้ามันนั่งหลับน่ะ...ให้มันตายซะดีกว่ามั้ย   

มันต้องขั้นนี้นะ ...ถีนมิทธะนี่ มันครอบคลุมใจไว้อย่างมืดมิดเลย  ถีนมิทธะนี่ มันเป็นนิวรณ์ตัวใหญ่หลวงเลย ...เคยได้ยินไหม "นิ่งหลับ...ขยับแดก" ภาษาเขาว่า

เพราะฉะนั้น อย่าให้มันคุ้นเคยกับอาการนี้  เพราะมันเป็นอาการที่ไม่น่าจะให้เกิดความคุ้นเคยกับมัน ...คือมันเป็นนิสัย แล้วมันจะติดข้ามภพข้ามชาติเลย

เวลามันจะหลับ ...ให้ลืมตาเลย อย่าหลับ  ถ่างตาไว้ ขืนไว้ ฝืนไว้ ...ถ้าไม่ได้อยู่ในการภาวนาในที่รวมกับผู้อื่นอยู่ ก็ขยับเนื้อขยับตัว หรือลุกเปลี่ยนอิริยาบถซะ 

หรือจะลองเอาตีนชี้ฟ้าก็ได้ ดูซิมันจะหลับมั้ย หา เคยมั้ย เอาหัวตั้งลงกับพื้นน่ะ แล้วเอาขา..ตีนชี้ฟ้า  ดูซิมันจะหลับได้มั้ย ...นี่ ถ้ามันตั้งใจจะสู้กันจริงๆ แล้วมันมีวิธีสู้เยอะแยะ

อย่างเดินจงกรมนี่ จะหลับเหรอ ...ก็หลับตาเดิน ลองดู ...ถ้ามันยังหลับได้อีก ถอยหลังเดินจงกรมโว้ย ลองดู มีวิธีสู้เยอะแยะ ถ้าจะเอากันจริงๆ อ่ะนะ

ไม่ใช่อะไร กูนี่แหละทำมาแล้ว ลองมาหมดแล้ว มันยังเสือกหลับเลย นี่ เอาสิ ...แต่ว่าทั้งหมดแล้วมันจะรวมลงที่สติ ...คือใช้อุบายอะไรก็แล้ว มันยังตามหลอกตามหลอน ตามล่อ ให้หายไปในภวังค์น่ะ

สุดท้ายแก้ยังไง ...แก้ด้วยสติ แก้แบบเผชิญกันเลย ตายเป็นตาย ...รู้ๆๆ รู้ว่าง่วง กำลังง่วง...รู้  รู้ว่ากำลังง่วง มันจะกำลังซึม กำลังค่อยๆ หรี่ลง...รู้ นี่

ใจจะขาดน่ะ ใจแทบขาด ...พอมันหรี่ เหมือนกับสายเอ็นสายใยมันจะขาดหาย ...สติ ตื่น หูย มันดึงกัน กว่าที่มันจะขาดแบบสะบั้นลงไปในถีนมิทธะ

นี่ โมหะ ของความหนักความซึมมันหาย ...เหมือนกับเปิดสปอตไลท์ขึ้นมาเลย..ขาดแล้ว เหมือนกับพลิกหน้าตีนเป็นหลังมือ...สว่างน่ะ แบบถีนมิทธะไม่กลับมาอีกเลยน่ะ

ไม่ว่าจะนั่งอยู่ท่าไหน จะง่วงขนาดไหน ไม่มีคำว่าสับนก ไม่มีคำว่าหายไป ...กิเลสโมหะนี่ไม่ได้กินเลย ถีนมิทธะไม่ได้กลับมากิน ...นี่ ใช้อุบายมาเยอะมันยังไม่รอดเลย ...ก็ใช้สติเข้ามาฟาดฟันกันตรงๆ

นี่ ในหลักอย่างนี้ เข้าใจมั้ยว่ามันไม่ใช่ถีนมิทธะตัวเดียว ...กิเลสทุกตัวเลย ไม่ว่าจะเป็นตัวราคะ ไม่ว่าจะเป็นตัวโทสะ ไม่ว่าจะเป็นตัวปฏิฆะ ไม่ว่าจะเป็นตัวกลัว ตัวความหดหู่ ความกังวล

เหมือนกันแหละ รูปแบบเดียวกันแหละ...เอาสติเข้าแลก เอาชีวิตเข้าแลกตรงนั้นเลย ตั้งใจมั่นว่าจะทำความรู้อยู่กับสิ่งนั้นๆ จำเพาะธรรม จำเพาะเบื้องหน้านั้น

เห็นมั้ยว่า พอมันเข้าแก้วิธีเดียว หลักเดียวแล้วนี่ ...มันแก้ได้หมด ไม่ว่าจะเป็นกิเลสหยาบ กลาง ละเอียด ประณีต สุดละเอียด สุดประณีต ...ก็วิธีเดียวนี่

คือวิชามรรค วิชามัชฌิมาปฏิปทา...แก้ได้หมด ...จนมันลุล่วง ตลอดๆๆๆ  แทงตลอด แทงออกตลอด  สลายหมดๆ ...คงไว้แต่รู้ คงไว้แต่ใจผู้รู้อยู่

แต่มันต้องซีเรียสนะ คร่ำเคร่งเลยนะ ทุกเม็ด...เข้าใจคำว่าทุกเม็ดมั้ย ...ไม่ใช่เช้าชาม...เย็นครึ่งชาม เช้าอีกเสี้ยวชาม  วันดีคืนดี สองชามเลย  มื้อเย็น จะได้นอนหลับสบาย ...ไม่ใช่อย่างงั้น

ตลอด...ตลอดไม่ขาดเลย ไม่เว้นเลย ไม่ว่างเว้นจากธุรการงานในศีลสมาธิปัญญา ...ต้องอย่างนั้นจริงๆ 

แล้วถึงขั้นนั้นแล้ว ก็อยู่ตรงนั้นน่ะ ...ไม่นานเกินรอหรอก ให้มันได้อย่างงั้นเถอะ  ให้มันพีค ให้มันได้จุดที่พีคก่อนเหอะ  แล้วพอมันถึงจุดที่มันพีคที่สุดแล้วน่ะ ไม่นานเกินรอ

แต่ไอ้ที่มันนานนี่ คือกว่าจะเข้าถึงจุดพีคนี่สิ จุดที่เรียกว่าจะเข้าถึงมหาสติ มหาสมาธิ มหาปัญญานี่  และห้ำหั่นกันอยู่ในมหาสมาธิ มหาปัญญา...ตรงนั้นไม่นาน

แต่ไอ้กว่าที่จะเข้าถึงจุดพีคนี่สิ เลือดตาแทบกระเด็น ...มันต้องทวนกับกิเลสตัวเอง ทวนกับความเห็น ความอยากของเรา ความคิดของเรา ...ตัวเรานี่

ตัวเรานี่เป็นตัวขวางกั้น ตัวบักใหญ่เลย ...กว่าจะแกะมันออก กว่าจะลบล้างมันออกนี่ กว่าจะทำลายคุณค่าของมันออกไปนี่...ด้วยความเพียร ด้วยสติ ด้วยปัญญานี่

กิเลสไม่ได้อยู่ไกลอยู่ใกล้อะไร อยู่ตรง "ตัวเรา" นี่ ...มันนั่งทับกิเลส นอนทับกิเลส ยืนบนกองกิเลส เดินเหินบนกองกิเลส หยิบอะไรก็ป้อนใส่กิเลส ...คือป้อนใส่ “เรา” นะ ไม่ได้ป้อนใส่ขันธ์นะ

เวลากินเวลาดื่มนี่ มันป้อนใส่ให้กิเลสตัวเรานะ มันไม่ได้ป้อนเข้ามหาภูตรูป ๔ เลย นี่ ไหงมันผิดช่องได้ก็ไม่รู้ ...ป้อนข้าวป้อนน้ำให้กิเลสตลอดวัน ตลอดทุกวันไป

มันไม่ได้ป้อนเข้าขันธ์น่ะ มันไม่ได้ป้อนเข้ามาหล่อเลี้ยงมหาภูตรูป เพื่อให้เกิดบรรเทาเวทนาใหม่ไม่ให้กำเริบ บรรเทาเวทนาเก่าที่กำเริบ ...มันเป็นไปเพื่อการนั้นมั้ย หรือเป็นไปเพื่ออำนาจของเรา

เนี่ย กินไม่เป็น เดินก็ไม่เป็น นั่งก็ไม่เป็น ยืนก็ไม่เป็น ...ไม่เป็นขันธ์ แต่เป็นเรา...ก็เรียกว่ายืนไม่เป็น กินก็ไม่เป็น ไปมาก็ไม่เป็น ...ไม่เป็นไปตามขันธ์ แต่เป็นไปตามอำนาจของเรา

เห็นมั้ยว่า กิเลสมันแนบชิดติดเนื้อติดตัวขนาดไหน จนไม่มีเวลาว่างไม่มีเวลาเว้น  แล้วยังมาบอกว่า...รอก่อน เดี๋ยวก่อน ถึงเวลาซะก่อน ให้ได้อายุซะก่อน

สุดท้ายก็ตายซะก่อน ชาติหน้าค่อยทำต่อ ...นั่น มันผลัดไปจนวันตายก่อน เกิดมาใหม่ค่อยทำอีกทีนึง เพราะว่าน่าจะได้ทัศนะวิสัยหรือว่าสัปปายะอันประเสริฐกว่านี้

ไอ้นั่นก็ไม่ใช่จริต ไอ้นี่ก็ไม่ใช่สัปปายะ ...หากันอยู่นั่นน่ะ ภาวนาจะให้ถูกจริต ถูกสัปปายะ ...ก็ไม่ตรงสักที ก็เลยไม่เกิดผลขึ้นสักที เพราะมัวแต่รอบทภาวนาที่มันตรงกับจริต

อะตีตัง นานวาคะเมยยะ ...มันล่วงไปๆ อดีตน่ะ หวนคืนไม่ได้นะ ...ก็ยังมัวแต่หาบทภาวนา วิธีภาวนากันอยู่

ถึงบอกว่าสติเนี่ย การระลึกกับกายในปัจจุบันนี่ เป็นแม่แบบที่จะหล่อหลอมศีลสมาธิปัญญาให้มารวมเป็นที่เดียวกัน ...ให้จำไว้เลย สติเป็นแม่แบบ หล่อหลอมศีลสมาธิปัญญาให้รวมเป็นหนึ่งในปัจจุบัน

ทำสัมมาสติตัวนี้ให้เกิดมากๆ มากกว่าไปนั่งหลับ หรือนั่งเลื่อนลอย...ไปในความง่วงเหงา ไปในความไม่รู้ตัว ไปในความสงบก็ตาม

ถ้าไม่มีสติที่เป็นสัมมาสติเมื่อไหร่ ...สัมมาศีล สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา สัมมาญาณ ไม่เกิดเลย ...มันเป็นเหมือนแบบแม่เลี้ยง พี่เลี้ยง ...สติ..เป็นธรรมที่มีอุปการะต่อธรรมในองค์มรรค

ฝึกให้มาก...สำหรับคนที่ไม่เคยฝึก และไม่เคยตั้งใจจะฝึกจริงๆ จังๆ กับการตั้งสติขึ้นกับปัจจุบันกาย ...ส่วนพวกที่เคยฝึกแล้ว กำลังฝึกอยู่...ก็ให้เข้มข้นกว่านี้

อย่าทำตัวเป็นกระเชอก้นรั่ว ก้นแหว่ง ก้นขาด ทะลุอยู่ตลอด...แล้วก็รู้สึกว่าไม่ผิดเลย ...มันจะรู้สึกผิดก็ต่อเมื่อถูกเราด่า ...อย่างนี้ไม่ได้ ต้องด่าตัวเองเยอะๆ

“มันจะไปอยู่กับผีนรกรึไง มันจะมาเกิดตายซ้ำซากวนเวียนอยู่อย่างนี้ีหรือ” ...ด่ามันเถอะ ว่ามันซะบ้าง มันจะได้กระตุ้นให้เกิดการระลึกรู้ขึ้น ไม่ขี้เกียจขี้คร้าน

ไม่ปล่อยปละละเลย ไม่ประมาทมัวเมาไปกับอาการในโลก ไปกับอาการของกิเลสของเรา ...นี่ เดี๋ยวก็จะเห็นหลักชัยหรือธงชัยของพระอรหันต์อยู่ลิบๆ 

เห็นลิบๆ ยังดีนะ ยังดีกว่าไม่เห็นนะ  ยังพอตามได้ พอยังเห็นช่องได้ว่า...เออ นั่นแหละ เส้นทางของพระอรหันต์ เรียกว่าธงชัยพระอรหันต์ 

เนี่ย ที่หลวงปู่ท่านปักธงไว้บนยอดเสา ท่านบอกว่าเป็นธงชัยของพระอรหันต์ เป็นนิมิตหมาย เส้นทางของมรรคเหมือนกัน ...ถ้าปฏิบัติไปเรื่อยๆ มันจะเห็นว่า เออ เนี่ย ธงชัยพระอรหันต์อยู่ข้างหน้าแล้ว

แต่ตอนนี้มันไม่เห็นว่าอยู่ไหน มีแต่ว่า...ช่องนั้นก็น่า ช่องนี้ก็น่า ช่องนู้นก็น่า หรือช่องไหนกันแน่วะ ...เนี่ยเขาเรียกว่ายังไม่ชัดเจนในองค์มรรค ยังสงสัยอยู่

เพราะนั้น เอาตัวสตินี่เป็นหลัก แล้วกำกับไว้กับปัจจุบันกาย...แค่นี้ก่อน สำหรับคนที่ไม่เคยทำ ...คนที่เคยทำแล้วก็พยายามย้ำ ย้ำๆๆๆ ...เดี๋ยวก็ตามทัน ตามหลังพระอรหันต์ทัน


เอ้า พอ เหนื่อยแล้ว ...ไปนอนกันซะ หรือจะไปตื่นกันซะก็ไป แล้วแต่ ช่วยไม่ได้ ...จะไปตื่นหรือไปนอนนี่ก็ไม่ใช่ธุระของเรา เพราะเราไปช่วยไม่ได้

มันต้องช่วยตัวเอง สองมือสองตีน สองแขนสองขา จะไปทำให้มันตื่นหรือจะไปสนับสนุนให้มันหลับ ...ไอ้สนับสนุนให้มันหลับนี่ไม่ต้องสนับสนุนหรอก มันหลับมาตั้งแต่ก่อนจะเกิดแล้ว

แต่ไอ้ตื่นนี่ต้องสนับสนุนกัน  ขวนขวายขึ้นมา ลุกขึ้นตื่นขึ้นๆๆ อยู่ภายใน อย่าไปกระโดดโลดเต้นภายนอก ...ให้มันลุกขึ้นตื่นขึ้นๆ  alert นั่น จิตตื่น  alert ในความรู้...ตื่นขึ้น

เอากายเป็นเครื่องปลุกสติ ...มันหลับมันไหลมานานแล้วใจนี่ มันถูกคลุมไว้ ...ก็เอาสติระลึกตรงนี้ มันก็ไปปลุกให้ตื่นขึ้น ...อย่าทำตัวเป็นนารายณ์บรรทมสินธุ์ อยู่ใต้เกษียรสมุทร

ตื่นขึ้นสักหน่อย ปลุกให้ตื่นขึ้น ด้วยสติในกาย ปัจจุบันกาย ...อย่าไปตื่นกับกายคนอื่น เดี๋ยวมีเรื่อง เดี๋ยวได้เรื่อง เดี๋ยวไม่รู้จักจบเรื่องนะ ...เห็นมั้ย ต้องกายเดียวนะ ต้องกายปัจจุบัน กายใครกายมัน ใจใครใจมัน

พอมันตื่นแบบเอาเปลือกตาออก ...นั่นแหละ อริยะจิตบังเกิด...ข้ามโคตร ไม่มาแซ่เบ๊แซ่ลิ้มแล้ว เป็นอริยกะแล้ว ...แต่ว่าเอาเปลือกตาออกให้ได้ก่อน อย่าเอามันไว้

ไปทำกันเอง ...บอกแล้ว บอกโดยนัยยะ บอกทั้งโดยตรง บอกทั้งโดยอ้อม บอกทั้งเบื้องล่างจรดเบื้องบน บอกตั้งแต่วงกลมรอบอนันตาจักรวาล ...บอกหมดแล้ว ไปหานัยยะเอาเอง

ภาษาหลวงปู่ท่านว่า เบื้องบนตั้งแต่ภวัคพรหมลงมา เบื้องล่างตั้งแต่อเวจีมหานรกขึ้นมา วงกลมหมื่นจักรวาลแสนโกฏิจักรวาล อนันตาจักรวาล ...พูดหมดแล้วนะเนี่ย

ถ้ามันทำไม่เป็น ก็เอาหัวไปจิ้มขี้ตายซะ คือมันโง่ได้ปานนั้นก็ไม่ต้องมาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ...ศีลสมาธิปัญญามันไม่ใช่ของที่มันยาก แบบโอ้โห ต้องลงทุนอย่างยิ่ง

ก็แค่นี้ นั่งแล้วก็รู้ว่านั่ง จบ ...เนี่ย รู้ไปๆ โง่ๆ นี่แหละ เดี๋ยวก็จะได้มรรคได้ผลแบบโง่ๆ มาเหมือนกันนั่นแหละ ลองดูเถอะ ...ขอให้ทำให้จริงเหอะ ให้รู้โง่ๆ ไปเถอะ

แล้วจะเข้าใจเองว่า...อ๋อ กูมานั่งกับก้อนอะไรวะเนี่ย ...เออ นี่ เริ่มเห็นดีเห็นงามตามธรรมแล้วนะ เมื่อมันรู้สึก...กูไปนั่งกับก้อนอะไรวะเนี่ย ...ก็เริ่มเห็นดีเห็นงามตามธรรมแล้ว ไม่ใช่ตาม “เรา”

แต่ตอนนี้มันตาม “เรา” อยู่  มันตาม “เราว่า” อยู่ ...เพราะไอ้ “เรา” นี่คือตัวพระเอก แต่มันเป็นพระเอกที่ใส่หน้ากากของผู้ร้าย แต่ว่าหน้าตามันเป็นพระเอกแบบเรา...เป๊ะเลยน่ะ 

ตัวเรานี่...พระเอก นางเอกน่ะ ...แต่เมื่อกระชากหน้ากากออกเมื่อไหร่นี่ จะเห็นว่ามันโคตรร้ายกาจเลย นะ 

เพราะนั้นเอาให้มันเห็นตัวเอง เห็นตัวเรา เห็นทั้งกายตามความเป็นจริง แล้วก็เห็นทั้งกายเรา ...แล้วดูไปเรื่อยๆ ก็จะเห็นว่ากายเรากับกายตามความเป็นจริง...อันไหนจริงกว่ากัน 

เพราะนั้น...ถ้าไม่กลับ ไม่ย้อนกลับมานะ มันจะไม่เห็น ...แล้วมันจะแยกไม่ออก  แล้วมันจะเอาแต่กายเราน่ะเป็นหลัก เป็นใหญ่

แต่ถ้าดูไป มันจะเห็นจุดเชื่อม รอยต่อ ที่มันไม่ใช่อันเดียวกัน ...นั่นน่ะเขาเรียกว่า ร่องรอยอยู่ตรงนั้น ร่องรอยของมรรค ร่องรอยของปัญญา 

คือร่องรอยของคมมีดที่จะกรีดออกจากกัน แล้วไม่หวนคืนมาอีก ...เรียกว่าตัดขาด


...................................




วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

แทร็ก 11/28 (2)


พระอาจารย์
11/28 (560729D)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
29 กรกฎาคม 2556
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 11/28  ช่วง 1

พระอาจารย์ –  นี่คือไม่ได้เปรียบเทียบกับใคร ...ก็เปรียบเทียบภายในนี่...มีให้ดูตั้ง ๓๐-๔๐ เที่ยวต่อหนึ่งวัน ...ก็สังเกตดู ...เออ เวลามันมีทุกข์เยอะๆ แล้วมันไม่ค่อยหนีไปไหนโว้ย

มันต้องอยู่กับตรงท่อนขา ตรงหลัง ตรงไหล่นี่  ตรงเหงื่อแตก ตรงร้อน อึดอัด ...นี่ ตรงนี้ รู้สึกมันอยู่กับเนื้อกับตัวดี  แต่พอเททิ้งแล้ววิ่งลงมาเอาใหม่ เดินลงมาเอาใหม่ ...นี่ มันลอย

มันเห็นนี่เราก็จับพิรุธของความเผลอความเพลินได้ ก็เอาใหม่ ...นี่ฝึกกับตัวเองอย่างนี้เงียบๆ ...เงียบๆ ด้วยนะ ไม่ได้ไปบอกว่า...เอ่อ ผมกำลังภาวนาอยู่นะครับ ห้ามยุ่งนะครับ 

หรือไปติดป้ายเขียนไว้กลางกะโหลก...ว่าภาวนาอยู่โว้ย ถึงไม่พูดนี่  ...ก็ไม่ได้พูด ไม่ได้เขียนไว้  ก็ทำเหมือนไม่ได้ทำอะไรนั่นแหละ ทำงานปกติ สั่งงานชี้นิ้วบอกได้

แต่ว่าภายในก็ทำของเราไป ไม่ได้กระโตกกระตาก ...จนทุกวันนี้เขายังบอกเราไม่ได้ภาวนาเลย ...ก็ไม่ได้ว่าอะไร มันเป็นเรื่องส่วนตัว เป็นเรื่องปัจจัตตัง ...แต่ก็เห็นคนมาฟังกับเราทั้งวัน ทุกวัน

เนี่ย กว่าที่มันจะปักหลักปักฐานขึ้นได้นี่ เราไม่ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปแบบเอาคืนไม่ได้นะ  แล้วพอเรามองย้อนกลับไป เราไม่เสียดายเวลาเลย ...แต่พวกเราตอนนี้...มองย้อนกลับไปสิ เสียดายเวลามั้ย 

มีแต่ว่า “นึกว่าน่าจะได้เจออาจารย์สักสิบปีที่แล้ว” นี่ มันเสียดายเวลาที่ผ่านมา ...แล้วมันหมดเวลาไปกับอะไร แล้วมันได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน พอให้จับ พอให้ยึด พอให้มั่น พอให้เป็นที่พึ่งได้มั้ย 

นี่ ท่านถึงบอกว่าศีลสมาธิปัญญาเป็นที่พึ่ง พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งนะ ...แล้วเราถามว่าไอ้ที่พวกเราทำมาตลอดชีวิตยี่สิบ สามสิบ สี่สิบ ห้าสิบปีนี่ ...มันเอาอะไรเป็นที่พึ่งจริงๆ จังๆ ได้มั้ย 

บ้านเหรอ รถเหรอ คิดว่ามันเป็นที่พึ่งได้มั้ย  ความมีชื่อเสียง มีหน้าตาในสังคม คิดว่ามันจะเป็นที่พึ่งจริงๆ ได้มั้ย ...เวลาเจ็บกำลังจะตายนี่ หือ มันเป็นที่พึ่งที่ประกันได้ไหมว่าการเกิดการตายนี่น้อยลง 

เห็นมั้ยว่า อะไรเป็นที่พึ่งอันประเสริฐ อะไรเป็นที่พึ่งที่แท้จริงล่ะ ...แล้วพวกเรามีศีล มีสมาธิ มีปัญญาพอที่จะเป็นที่พึ่งที่แท้จริงกันแล้วหรือยังล่ะ

แต่ถ้าถามเรา...เราไม่เสียดายเวลาเลย แม้มันจะทุรกันดาร เร่าร้อน เสียดแทงมาตลอด ...การอยู่การกินนี่ อยู่แบบอดอยากปากแห้ง ไม่ได้สมบูรณ์พูนสุขหรอก

อย่านึกว่าอยู่กับครูบาอาจารย์ระดับหลวงปู่แล้วมันเพียบพร้อมไปหมดนะ มันมาเพียบพร้อมสมัยนี้ต่างหาก ...ครูบาอาจารย์ท่านไม่ปล่อยให้สบายเกินไปหรอก

เพราะมัน...เหมือนที่เราบอกไง ...เวลาลำบาก เวลาแบกของ สติมันจะพออยู่ ...แต่พอเวลามันทิ้งของแล้วเดินลงมาสบายๆ เรายังสังเกตเห็นเลยว่า ใจมันลอย มันเผลอเพลิน

แล้วครูบาอาจารย์ท่านก็รู้ ท่านก็เลยวางยาไว้ ...คือสอนภายนอกนี่ก็สอนนะ แต่ไม่ได้บอกว่าสอน ...เพราะท่านก็ไม่ได้เขียนว่านี่เป็นการสอนโว้ย ไม่ได้บอก

ภายในท่านก็สอน เทศน์ทุกวันเช้า-ค่ำ ตีสามเทศน์-ทุ่มนึงเทศน์ ...เห็นมั้ย ครูบาอาจารย์ท่านก็สอนทั้งภายในภายนอก แต่ท่านไม่ได้บอกว่าตอนนี้ๆ เป็นการสอนนะ 

คือใครจับได้ก็เอาไป ถ้าใครจับไม่ได้ก็หนีไปอยู่ที่อื่น วัดอื่นที่เขาไม่มีงาน ...นี่ งานก็งาน ยังแถมขึ้นบันไดอีกต่างหาก จะหาอยู่หาบิณฑบาตทีก็เหนื่อย

สมัยเราบิณฑบาตนี่ถนนไม่มีลาดยางนะ เป็นหิน  เคยเห็นมั้ย ไอ้หินภูเขาน่ะ ดำๆ น่ะ  ไม่ใช่หินเกล็ด ไม่ใช่หินคลุกนะ ไอ้หินแหลมๆ แกรนิตน่ะ ปูถนนนี่

เดินทีเลือดนี่เต็มฝ่าตีน เดินไปนี่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเลย ...ใหม่ๆ นี่ ย่องน่ะ ไม่เรียกว่าเดินนะ ย่องน่ะ ...เป็นหลายเดือนนะกว่าตีนมันจะด้านน่ะ ก็เดินจนตีนด้าน 

พอตีนด้าน คราวนี้เลือดมันไม่ออกแล้ว เออ พอเลือดไม่ออก เดินได้...ดันมาทำลาดยาง ซวยเลยกู เป็นงั้นน่ะ ...แต่เดี๋ยวนี้เดินสบาย มันยังเสือกใส่รองเท้ากัน 

เห็นมั้ยว่าเวลามันทุกข์ เวลาเจออะไรบีบคั้นในกายในใจนี่ มันทำให้แกร่ง ...มันหนีไม่ได้ แล้วมันอยู่ในภาคบังคับอย่างนี้ มันเป็นการฝึกที่ไม่ได้ตั้งใจจะฝึกเลยน่ะ

สติก็ต้องอยู่ สมาธิก็ต้องอยู่ ...มันจะไปไหนได้ล่ะ ก็ต้องคอยดูว่ากูจะเหยียบอะไรแหลมๆ มั้ย เนี่ย ไม่มีสติกูก็คงเหยียบแล้ว ใช่มั้ย ...เนี่ย ทุกข์นี่มันสอนนะ สอนให้มันระมัดระวัง อยู่กับเนื้อกับตัว

แต่ในระหว่างนั้นมันก็มีการจ่มด่า...ด่าทั้งตัวเอง ด่าทั้งถนน ด่าทั้งคนสร้างถนน ด่าหมด ทำไมมันไม่ทำให้มันเรียบกว่านี้วะ หรือมันหาอะไรมาปูสักหน่อย ทำไมจะต้องเอาไอ้หินพรรค์นี้มาถมวะ

นั่น น.พ.ค. เขาทำ ทหาร เขาเอาหินภูเขาอย่างนี้มาทำ ไม่มีบดอัดน่ะ ...ก็เดินกันจนตีนด้านน่ะ ...แล้วก็ค่อยๆ ก่อร่างสร้างขึ้นมา ภายนอกนี่ก็มาทำช่วงหลัง ช่วงบั้นปลายของหลวงปู่นี่

ภายในก็ทำขึ้น ก่อร่างสร้างวัดภายในขึ้นเหมือนกัน ...วัดภายนอกก็ทำไป ไอ้วัดภายในของเราก็ทำ โดยไม่ได้ไปป่าวประกาศว่ากำลังทำอยู่ให้ใครรู้ให้ใครเห็น ...ถือว่าเป็นการเคี่ยวกรำ

เพราะนั้นว่า มันจะเป็นภาวะที่บีบคั้นทั้งภายในและภายนอก ...ก็อดทนอย่างเดียวน่ะ เหมือนอย่างคติที่ท่านเขียนไว้ว่า “ทุกข์ไม่ต้องบ่น อดทนเอา”

ก็บ่นแล้วมันสบายใจไง หมายความว่ามีเพื่อนร่วมสุข มีทุกข์ร่วมเสพ ...คือมันได้คลาย ได้ระเบิด ได้ระบาย ได้มีคนรับทราบ แบกทุกข์ร่วมกัน มันเลยคลาย

หลวงปู่ท่านบอก...ไม่ต้องบ่น อดทนเอา  บ่นภายนอกก็ไม่ต้องบ่น บ่นภายในก็ไม่ต้องบ่น ...แต่ไอ้บ่นภายในนี่ห้ามยากนะ มันก็บ่นเหมือนหมีกินผึ้งอยู่อย่างงั้นน่ะ

กว่าที่จะกำราบมันน่ะ กำราบจิตน่ะ มันจะต้องอดทนจนชาชินน่ะ ซ้ำแล้วซ้ำอีกๆ ...แล้วเราไม่ยอมหนีน่ะ ถ้าเราหนีก็เสร็จมันแล้ว ...คือเรามีกรรมผูกพันกับหลวงปู่ เคยเป็นครูบาอาจารย์กันก็เลยไม่หนีกัน

เพราะก็ไม่ใช่ว่ามีพระอยู่ได้ตลอดนะ มาเช้า-เย็นกลับก็ยังมี...มาเจอหลวงปู่กำลังนั่งอยู่ข้างล่าง แล้วพระกำลังแบกหินกันอยู่นี่  เพิ่นมากราบ วางบาตรวางกลดกราบหลวงปู่เสร็จ

หลวงปู่ท่านบอก “ยังไม่ต้องขึ้น ถอดจีวรท่าน แบก หลวงพี่ไปแบกก่อน” ...แบกได้หนึ่งเที่ยว มาปุ๊บ ลาหลวงปู่เลย...ไปแล้วครับ ...นี่ เห็นมั้ย หลวงปู่ไม่ต้องไล่เลย

ลำบาก สมัยก่อนลำบาก โดนเคี่ยวมาหมด กว่าจะเป็นผู้เป็นคน กว่าจะตั้งเนื้อตั้งตัวขึ้นมา ...ก็ไม่ได้ต่อต้าน ไม่ได้ต่อสู้ภายนอกเลย ...เราเชื่อพระพุทธเจ้า แก้ที่เหตุ เราไม่แก้ภายนอก

ซึ่งแรกๆ มันจะแก้ให้ได้..ภายนอกนี่ ...แต่ด้วยอาศัยว่าครูบาอาจารย์คอยกำราบ สุดท้ายก็ต้องแก้ที่ภายในที่เดียว โดยที่ไม่จำยอม ...แรกๆ มันจะไม่จำยอมนะ

คือเรานี่เป็นคนไม่ยอมคน ดูหน้าเราสิ จะมายอมกับไอ้ส้นตีนนี่เหรอ ...นี่ ลึกๆ นะมันมี ไม่กลัวใคร ...กลัวหลวงปู่คนเดียว ยอมหลวงปู่คนเดียว

นี่ ถ้าไม่ใช่ครูบาอาจารย์นะ ก็ไม่สามารถตั้งเนื้อตั้งตัวได้ ...ก็ตั้งรากตั้งฐานของศีลสมาธิปัญญา เข้าไปค้นคว้าในเหตุที่แท้จริงได้

จิตน่ะ มันจะหาเรื่องลูกเดียว จะเอาเรื่องอย่างเดียว จะต้องให้เป็นเรื่องให้ได้ ...เห็นมั้ย เนี่ย “เรา” อำนาจของเรา อำนาจของจิต มันมีแต่จะสร้างเรื่อง จะให้มีเรื่องให้ได้

โดยเข้าใจว่ามีเรื่องแล้วมันจะได้จบเรื่อง เออ มันว่าของมันอย่างนั้นนะ ...ดีเราไม่เสียทีเสียท่าไปกับมัน ถ้าไม่ได้ครูบาอาจารย์เป็นกำแพงแล้วนี่

เพราะตั้งแต่วันแรกที่เรามากราบหลวงปู่ มาบวชนี่  ท่านบอกว่าไม่ต้องไปไหน อยู่จนกว่าดอยมันจะแตกน่ะ (หัวเราะ) ...เหมือนกับปิดประตูเลย ห้ามไปอยู่ที่อื่น

เราถึงเห็นว่าการปฏิบัติภาวนานี่ ไม่ใช่ของเล่นๆ  มันต้องผ่านการเคี่ยวกรำจริงๆ  ไม่เคยทอดธุระ ไม่เคยทิ้งเลย แม้จะห่างไปบ้างบางเวล่ำเวลาที่กิเลสมันขี่คอ อารมณ์มันขี่คอ

แล้วมันอยู่ภายใต้อำนาจของความขุ่นมัว โทสะ หรือความเบื่อในสภาพที่มันแก้ไม่ได้ซ้ำซากบ้าง ...แต่ก็ไม่เคยที่จะหลุดจากการที่จะน้อมกลับมาอยู่กับภาวนา...ในปัจจุบันกาย ปัจจุบันรู้ ในดวงจิตผู้รู้นี้

ได้นิดก็เอานิด ได้หน่อยก็เอาหน่อย ได้มากก็เอามาก ถ้าได้ขึ้นขี่คอนี่ไม่ยอมปล่อยเลย ...นี่ ทำกันอย่างนี้ 

ที่ว่ากว่าจะได้ขี่คอนี่ ...ขี่คอคืออยู่กับศีลอยู่กับสมาธิปัญญา...เป็นเครื่องทรง นี่ เป็นเหมือนเสื้อผ้า เป็นอาภรณ์ เรียกว่าไม่หลุด ไม่ขาด ไม่ลุ่ย ไม่หายเลย

กว่าจะได้ท่า ได้ช่อง หรือว่าจับได้มั่นคั้นได้ตายนี่ ...มันก็ไล่มาจากทีละเล็ก ทีละหน่อย ...ก็ไหลไปตามกิเลสบ้าง เผลอเพลิน หรือแสดงอำนาจบาตรใหญ่ไปบ้าง แต่ไม่ทอดธุระในศีลสมาธิปัญญา

จนหลวงปู่ท่านล่วงลับ มาถึงยุคเรา พวกเรา สมัยเรานี่...ก็อย่าทอดธุระในการภาวนา  อย่าได้ชื่อว่าเป็นพระป่า ได้ชื่อว่ามาอยู่สำนักหลวงปู่แล้วมันจะได้ธรรมะติดตัวไป มันจะได้ศีลสมาธิปัญญาติดตัวไป

ถ้ามันคิดอย่างนั้นแล้วไม่ภาวนาจริงๆ จังๆ  มันก็จะได้แต่ความเลอะเทอะเปรอะเปื้อนกลับคืนไป ..เพราะในที่ไหนๆ มันก็มีคน แล้วมันก็มีกิเลสในคน...แปลกปลอม ปนเปื้อน สะสม แทรกซึมอยู่หมด

แล้วมันก็มาผสมน้ำ ผสมยา เรียกว่าขนมผสมน้ำยากัน ...ก็คือตัวเองก็มีกิเลสอยู่แล้ว ภายนอกก็มีกิเลสแวดล้อมอยู่แล้ว ผสมกันก็อร่อยเลย  ทีนี้ก็หาผักแกล้มกินกันสนุกปาก นี่...มันต้องระวัง


(ต่อแทร็ก 11/29)




วันพุธที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

แทร็ก 11/28 (1)


พระอาจารย์
11/28 (560729D)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
29 กรกฎาคม 2556
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ  :  แทร็กนี้แบ่งการโพสต์เป็น  2  ช่วงบทความ)

พระอาจารย์ –  ถ้าทุกคนเข้าใจในหลักธรรม หลักการปฏิบัตินี้แล้วนี่ ...อย่าแค่ฟัง อย่าแค่เข้าใจ ...ต้องเอาไปทำ ... ใครทำ..ใครได้  ใครไม่ทำ..ไม่ได้  ใครทำมาก..ได้มาก  ใครทำน้อย..ได้น้อย

ใครไม่ทำเลย..ไม่ได้ ...ไม่ได้อะไร ...ไม่ได้ความรู้แจ้งเห็นจริง ...คือไม่ใช่ได้ความดีความงามอะไร ไม่ใช่ได้บุญได้บาป ...แต่ไม่ได้ความรู้แจ้งเห็นจริงในกองขันธ์และกองโลก

เพราะนั้นก็ทำให้มันได้มากๆ ...ได้จนขนาดรู้แจ้งแทงตลอด  จนมันทะลุปรุโปร่ง...ตลอดกาย ตลอดขันธ์ห้า ตลอดสามโลกธาตุ ...นั่นน่ะ เขาเรียกว่ารู้จริง

ผู้ที่รู้จริงๆ จะรู้โดยตลอด โดยไม่มีอะไรมาปิดบังขัดขวางได้ แม้แต่เสี้ยวหนึ่ง อณูหนึ่ง ปรมาณูหนึ่ง ของทั้งนามธาตุและรูปธาตุ ...นี่ ความสว่างของปัญญามันทะลุหมดน่ะ 

สาดส่องไปตรงไหนนี่ กระเจิดกระเจิง เปิดเผยความเป็นจริง ไม่มีนัยยะอะไรซ่อนเร้นแอบแฝงอยู่เลย ...มันจึงเกิดความบริสุทธิ์ใจ มันจึงเกิดความบริสุทธิ์ในการรับรู้นั้นๆ 

มันจึงเกิดความบริสุทธิ์ในวัตถุ ในธาตุ ในขันธ์ ทั้งรูปธาตุนามธาตุนั้นๆ ...จนไม่ลังเลสงสัย จนไม่เป็นที่แวะ ที่ข้อง ที่ติด ที่ยึด ที่มั่น ที่ถือ ที่ครองเลย ...นั่นมันหมดสงสัย จึงเรียกว่ารู้แจ้งแทงตลอด


พวกเราเกิดมาพร้อมกับความมืดบอด ก็อย่าตายไปพร้อมกับความมืดบอด ...เสียชาติเกิด ...ให้มันตายไปพร้อมกับความสว่าง...อย่างน้อย เรืองๆ รองๆ เท่าหิ่งห้อย ก็ยังมีคุณค่านะ 

อย่าให้มันมืดตึ้บ ...เกิดมาก็มืดตึ้บอยู่แล้ว อันนี้ทุกคนน่ะ ...แม้แต่เราเกิดมาก็มืดตึ้บ เกิดมาพร้อมกับความมืดบอด แล้วก็ค่อยมาทำความแจ้งไปทีละเล็กทีละน้อยนี่

เอาจนตายไปพร้อมกับสปอตไลท์ติดตัวน่ะ สว่าง...เข้าใจ ตั้งแต่เกิดยันตายเลย เข้าใจตลอดสายเลย  เข้าใจทุกอิริยาบถ เข้าใจทุกผัสสะ เข้าใจทุกอารมณ์

เข้าใจทุกกิเลสตัณหาทุกตัว ตลอด แจ้งหมดเลย ...ไม่สงสัยว่ามันคือใคร มันคืออะไร มันเป็นใคร มันเป็นของใคร...เข้าใจแล้ว ...นั่นแหละแจ้ง

อย่าตายกับขันธ์ด้วยความอึดอัด ทึบๆ ทึมๆ  คับๆ ข้องๆ  คาดๆ เดาๆ  หมายๆ หวังๆ  สุ่มๆ  ลูบๆ คลำๆ ...นั่นน่ะตายด้วยความไม่แจ้ง ตายไปพร้อมกับความเศร้าหมอง

แล้วไอ้ความเศร้าหมอง ไอ้ความมืดนั่นน่ะ มันจะพามาเกิด...ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซ้ำแล้วซ้ำอีก วนแล้ววนเล่า วนแล้ววนอีก ...ก็ทุกข์อันเก่าน่ะแหละ ทุกข์แบบเก่าน่ะแหละ ทุกข์แบบเดิมน่ะแหละ 

ก็เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทุกข์แบบเดิมๆ นั่นแหละ  เดี๋ยวได้อย่างที่อยากได้ เดี๋ยวไม่ได้อย่างที่อยากได้  ไม่อยากได้ดันได้ อยากได้ดันไม่ได้ ...เนี่ย จะไปเจออาการเก่าๆ แบบนี้แหละ

แต่ว่าไอ้วัตถุภายนอกอาจจะดูเปลี่ยนไป ดูล้ำ ดูเลิศ ดูหยาบ ดูประณีตกว่า ...แต่ไอ้ความรู้สึกภายในเหมือนเดิมแหละ ...อยากได้แต่ไม่ได้ ไม่อยากได้ดันได้ แล้วก็เกลียด แล้วก็โกรธ แล้วก็รัก 

รักแล้วก็พลัดพรากจากกัน มีสุขแล้วก็พลัดพรากจากสุข มีคนที่รักคนที่พอใจก็พลัดพรากจากกันไป มีวัตถุข้าวของที่อยากได้ แล้วครอบครองได้ประเดี๋ยวหนึ่ง ก็พลัดพรากจากกันไป

สวดมนต์กันอยู่ทุกวัน ท่องกันเป็นนกแก้วนกขุนทองหรือเปล่า ...ทำไมไม่เห็นว่าความเป็นจริงที่เราจะต้องมาวนเวียนอยู่กับอาการเดิมๆ เดิมๆ นี้...โดยไม่ได้ลืมหูลืมตาเลยอ่ะ

เรียกว่าลืมตาอ้าปากไม่ได้เลย ...ตกอยู่ใต้อำนาจของกฎไตรลักษณ์ กฎธรรมชาติ กฎของทุกขสัจนี้ ทุกข์ประจำโลก ทุกข์ประจำขันธ์ ต้องมาอยู่ใต้อำนาจของทุกข์เหล่านี้

และทุกข์เหล่านี้...ด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจนี่ ...มันก็จะบีบๆ คั้นๆ เราจนเกิดเป็นทุกข์อุปาทาน แล้วก็เกิดการสร้างทุกข์อุปาทานที่มันจะหนีทุกขสัจให้ได้ 

เออ มันก็เหมือน...อัฐยายกินขนมยายไป ...ก็เกิดแล้วเกิดเล่า เกิดแล้วเกิดอีก ก็ยังออกจากความเป็นทุกข์อุปาทานกับความที่จะแก้ทุกขสัจนี้ไม่ได้ ...เพราะมันไม่เข้าใจ

นี่มาได้ยินได้ฟัง...แล้วก็ทำความเข้าใจซะ  แล้วก็ขยัน...ให้กระตุ้นต่อมขยันให้มันระเบิดไปเลย  ระเบิดต่อมขี้เกียจ...ขี้เกียจรู้ ขี้เกียจภาวนาว่าปล่อยสบายๆ ดีกว่า

อย่าปล่อยนะ ...เพราะอายุขัยมันไม่ปล่อยนะ ความตายไม่ปล่อย ไม่รามือนะ ...มัจจุมาร มัจจุราชนี่  เขานอนเขานั่งรออยู่ เขาดึงเข้ามาๆ ดึงเข้ามาใกล้ๆ แล้วเขาก็บั่นคอ

แต่ก่อนที่เขาจะบั่นคอนี่ เขาก็บั่นแขนบั่นขา บั่นตับไตลำไส้ บั่นเลือดบั่นเนื้อ บั่นอวัยวะภายในทีละเล็กทีละน้อย กัดกลืนกินไป ...นี่คือเขาเตือนแล้วนะๆ

แล้วพอมาถึงต่อหน้า เขาฟันได้เขาก็ฟันคอขาดเลย...ตาย นั่น มัจจุมาร ...ยังคิดว่าไม่ตายกันอยู่หรือไง แล้วยังใช้เวลาให้หมดไปกับสาระหรือสิ่งไม่มีสาระยังไง พิจารณากันบ้างไหม

อย่ามัวแต่เล่น อย่ามัวแต่คิดว่า...ไม่มีอะไร ไม่เป็นอะไรหรอก  ใช้ชีวิตไปแบบซังกะตายวันๆ ตามอำเภอใจเรา  นึกอยากไปก็ไป นึกอยากมาก็มา นึกอยากทำก็ทำ ไม่อยากทำก็ไม่ทำ

นี่เรียกว่าตามอำเภอใจ หรือตามกิเลสน่ะว่างั้นเถอะ แต่มันก็พูดภาษาให้ดูดีว่าตามอำเภอใจ ...แต่จริงๆ ก็คือตามกิเลสเรา หรือว่าพูดภาษาลึกซึ้งกว่าหน่อย ก็ว่าตามความไม่รู้ของเรา 

คือตามอำนาจของอวิชชา ตัณหา อุปาทาน คือความหมายเดียวกันกับว่าตามอำเภอใจ ...นี่ อธิบายให้ฟัง มันจะได้กลัวซะบ้าง ในการอยู่ตามกิเลสน่ะ...มันมีผล มีโทษมีทุกข์สืบเนื่องไปยาวเหยียดขนาดไหน

กับการที่อยู่ด้วยการบั่นทอนกิเลส...คือตัวเราของเรา คือความอยาก-ความไม่อยากของเรา ...นั่น การอยู่ด้วยการบั่นทอนกิเลส ...เหมือนเลาะเอ็นจากเนื้อ  ให้มันเหลือแต่เนื้อแท้ๆ จะได้กินคล่องคอนั่นแหละ

การที่เราคอยบั่น คอยเลาะ คอยทอนความอยาก-ความไม่อยาก ความไม่รู้เนื้อรู้ตัว ความอยากสบายปล่อยให้มันเผลอเพลิน ...คือการบั่นทอนทีละเล็กทีละน้อย

เพื่ออะไร ...เพื่อจะให้เข้าถึงรากเหง้า ต้นตอของอวิชชา...ซึ่งเป็นสาเหตุหรือมหาเหตุ ...กายใจนี่เป็นเหตุแล้วนะ แต่ยังมีมหาเหตุคืออวิชชาตรงนั้น

แล้วตัวอวิชชามันอยู่ตรงไหน ...ไม่ได้อยู่ตรงนี้หรอก ไม่อยู่ตรงนี้ตรงกายหรอก ไม่อยู่ตรงขันธ์ด้วย ...มันอยู่ที่ใจ ถ้าเข้าไม่ถึงใจก็เข้าไม่ถึงตัวอวิชชา

ถ้าเข้าไม่ถึงตัวอวิชชาก็เข้าไม่ถึงตัวมหาเหตุ ...ถ้าเข้าไม่ถึงตัวมหาเหตุก็หมายความว่าการเกิดการตายนั้นยังประมาทไม่ได้ ยังไม่สามารถวางใจได้ในการเกิดและการตาย

มันไม่ยากเกินกำลังหรอก อย่าท้อ ...มันทำได้ ถ้าตั้งใจจริงๆ ...มันอยู่ที่การสร้างความตั้งใจใส่ใจขึ้นมา แล้วก็รักษาความตั้งใจนี้ให้ตลอด ต่อเนื่องไป

เพราะนั้นก็เป็นนิมิตหมายที่ดีในการเข้าพรรษาสามเดือนนี้...คือเอาสามเดือนนี่แหละ จะตั้งใจอย่างมากๆ อย่าไปเผลอเพลินลุ่มหลงกับการงานภายนอก

กายก็ทำไปแต่อย่าให้ใจเข้าไปทำ อย่าให้จิตเราเข้าไปพัวพัน ...ไม่ใช่ว่า..เฮ้ย ไม่ทำงานเลยโว้ย จะเข้าพรรษาแล้ว งานภายนอกจะไม่ทำ...ไม่ได้  เดี๋ยวโดนไล่ออกจากวัด  

กิจวัตรข้อวัตร...ทำ  การงานในวัด...ทำ ...แต่ว่าเวลาทำ อย่าเอาใจไหลใจหลง อย่าให้จิตไหลจิตหลงไปในงานนั้นจนกู่ไม่กลับ คืนไม่ได้ คืนไม่เป็น หาฐานไม่เจอ หากายจริงๆ หาใจรู้ปัจจุบันไม่ได้

มันต้องฝึก ...เพราะเราอยู่ในโลกที่ไม่มีการงานภายนอกไม่ได้หรอก ...ขนาดบวชเป็นพระ ก็ยังมีงานของพระอีก แล้วจะทำยังไงที่จะอยู่กับงานนั้นโดยที่จิตไม่วุ่นวี่วุ่นวาย ...ถ้าไม่ฝึกมันก็ไม่ได้  

สมัยพัฒนาวัด เราอยู่บนถ้ำก็แบกหินแบกทรายแบกปูนขึ้นลงวันละสัก๔๐-๕๐ เที่ยวมั้ง  ก็ก้มหน้าก้มตาเดินงุดๆ ทีละก้าวๆ ขึ้นบันไดน่ะ แบกกระสอบทรายไว้ประมาณสักแปดสิบโลน่ะ แล้วก็ค่อยๆ เดิน 

เราไม่พูดเราไม่เล่นกับใครหรอก ...เดินดูเหงื่อมันตก เดินดูเหงื่อที่มันแตก เดินดูความปวดร้าวของเวทนา เดินดูความหงุดหงิดไม่พอใจในงาน ...ก็เดินอย่างงั้นน่ะ 

คือที่ไหนก็ถือว่าเป็นที่ภาวนาของเราหมด ...ต่อให้มันร้อน เมื่อย เหนื่อยขนาด ปวดร้าวไปทั่วสรรพางค์กาย แล้วก็มีจิตของเราที่ไม่อยาก เกลียดมากเลยงานนี้ ...ก็ดูมัน

แล้วจะทำยังไง จะเอาเวลาที่ไหนไปภาวนา จะหาเวลาที่ไหนไปภาวนา ...ก็เอามันตรงนั้นแหละ ...ดูมัน  ยืนก็ดู เดินก็ดู  "เหนื่อยจะตายชัก"...ก็ดูความรู้สึกที่ว่าเหนื่อยจะตายชักมันเป็นยังไง

"เบื่อจะตายชัก" ...ก็ดูความเบื่อจะตายชัก ดูซิ ...ก็ไม่เห็นมันชักสักที แล้วก็พูดอยู่ได้เหนื่อยจะตายชัก ไม่เห็นมันชักเลย เนี่ย ดู...ดูความเป็นไปของมัน

ก็เก็บเล็กผสมน้อยตลอดน่ะในหน้าที่การงาน งานวัดงานวา งานสงฆ์ งานทางศาสนพิธี งานทางโลก งานในวัด งานก่อสร้าง ...ก็ทำมาทั้งนั้นแหละ 

แต่ทำด้วยสติ ...ไม่ได้ทำอยู่กับงาน แต่ทำอยู่กับสติ...มากบ้าง น้อยบ้าง ...เราก็ถือว่าเอาตัวนั้นน่ะเป็นตัวมาตรฐานการวัดว่าได้ผลของงานมั้ย

ไอ้งานภายนอกได้ผลมันก็ได้ผลไป แต่ไอ้ผลของงานภายในเราก็คอยวัดอยู่เสมอ ...เฮ้ยไม่ได้เรื่องโว้ย แบกไปจ่มไป ด่าไป โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวนี่ ...ก็เอาใหม่

เพราะว่าอะไร ...ก็มีโอกาสตั้งสี่สิบเที่ยวน่ะ วันๆ ขึ้นๆ ลงๆ สี่สิบครั้ง ...เออ ขึ้นเที่ยวนี้ดีโว้ย รู้ได้ดี ...พอตอนลงไม่ดี ตอนลงมันสบาย พอสบายแล้วมันลืมเนื้อลืมตัว...เออ ไม่ดีโว้ย


(ต่อแทร็ก 11/28  ช่วง 2)