วันอาทิตย์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2558

แทร็ก 11/13 (2)


พระอาจารย์

11/13 (560517D)

(แทร็กชุดต่อเนื่อง)

17 พฤษภาคม 2556

(ช่วง 2)



(หมายเหตุ :  ต่อจากแทร็ก 11/13  ช่วง 1


พระอาจารย์ –  แม้กระทั่งพระอริยะ พระอรหันต์ ท่านยังไม่มีอำนาจเข้าไปแก้ไขเลย ท่านยังอยู่ด้วยความเป็นกลางกับสิ่งนั้นๆ ที่ปรากฏอยู่ในสังสารวัฏ ... ไม่ใช่ท่านสำเร็จแล้วก็มีอำนาจไปเปลี่ยนแปลงกรรมหรือวิบาก...ไม่นะ

แต่ที่ว่า ทำไมท่านช่วยได้ ...เพราะท่านชี้ให้เห็นที่มาที่ไปของมัน  แล้วจิตที่เข้าใจระบบที่มาที่ไป เข้าใจ เห็นชัด ... มันก็คลาย มันก็ถอนจากตรงนี้...ตรงที่เข้าไปซ้ำซากเป็นครุกรรมภายใน มันก็จาง

เพราะนั้นผลลัพธ์ คือวิบากที่เกิดขึ้นตอบสนองก็จะจางไป ...ด้วยตัวของมันเองนะ  ไม่ใช่ด้วยอำนาจของท่านนะ ... แต่ว่าท่านชี้ทาง ให้เห็น ให้เข้าใจ ให้เกิดปัญญา  แล้วมันเกิดคลี่คลายในจิต มันจึงคลายออกจากวิบากที่มันจะได้รับผลซ้ำๆ ซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น

ไม่ใช่ว่าท่านมีพลังไปยกอุ้มชูให้เหนือกรรมหรือว่ามารับกรรมวิบากแทนกัน ... ไอ้นั่นน่ะตำราเด็กเล่น เขียนเอาเอง เชื่อกันไปมา กล่าวกันไปอ้างกันมาแบบผู้วิเศษน่ะ จนทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนในกฎธรรมชาติ

แล้วพยายามจะสร้างกฎใหม่ขึ้นโดยลัทธิ โดยสีลัพพตปรามาส ความเชื่อถือต่างๆ ว่ารดน้ำมนต์บ้าง ทำอย่างนั้นสะเดาะเคราะห์บ้าง ทำอย่างนี้สังฆทานบ้าง ...ไปๆ มาๆ นี่ แต่ละวัดนี่ถังพลาสติกเต็มไปหมด เพราะจะไปสังฆทานแก้กรรม 

มันผิด...มันผิดจากความจริง คลาดเคลื่อนไปหมด แม้กระทั่งสังฆทานก็ยังผิดความหมาย  แล้วมันจะผิดไปเรื่อยๆ อย่างนี้ ...มันแก้ไม่ได้หรอก

เพราะนั้นไอ้ที่แก้...คือเรามาแก้เป็นรายบุคคล เข้าใจมั้ย  พระอริยะในยุคนี้ พระที่ปฏิบัติจริงในยุคนี้ สามารถแก้ได้เป็นรายบุคคล มันจะแก้โดยองค์รวมไม่ได้เลย

เพราะว่าอำนาจของความเป็นไตรลักษณ์ของพระพุทธศาสนาก็มีอยู่ มันต้องอยู่ภายใต้กฎของไตรลักษณ์เช่นกัน มีความเสื่อม มีความถอยไปเป็นธรรมดา ...เพื่อจะเป็นไปสู่เป้าหมายสุดท้ายคือความดับไปเป็นธรรมดา

เพราะนั้นน่ะ นี่มันเป็นช่วงอาทิตย์อัสดงไม่ใช่อาทิตย์อรุณรุ่ง ...อรุณรุ่งนั่นน่ะช่วงพุทธะบังเกิดอยู่ พอพุทธะท่านดับท่านสิ้น พระพุทธเจ้าท่านนิพพานแล้ว ตรงนี้เหมือนกับเกินอรุณรุ่งแล้ว ...มันคล้อยลงเรื่อยๆ แล้ว จะคล้อยลงสู่ความตก แล้วก็ดับ

จริงๆ พระอาทิตย์ไม่ได้ดับ เข้าใจมั้ย มันอยู่ในวิถีที่โลกมันไปบังเท่านั้นเอง  แต่พระอาทิตย์หรือความสว่างก็ยังมีอยู่ในจักรวาล ...รอที่มันจะหมุนมาหาพระอาทิตย์อีกครั้งนึงเท่านั้นเอง 

นั่นคือเวลาวันใดที่พุทธะบังเกิดขึ้นมาอีกหนึ่งองค์ แสงสว่างก็มาทำให้โลกนี้สว่าง เหมือนอรุณรุ่งอีกครั้งนึง เป็นช่วงกลางวัน

เพราะนั้นช่วงกลางวันของพวกเรานี่...ห้าพันปีเท่านั้นเองที่ยังอยู่ในช่วงกลางวัน ...ตอนนี้เลยเที่ยงวันแล้ว บ่ายคล้อยแล้ว เริ่มจะเข้าบ่ายแก่ๆ แล้ว ...แล้วก็จะค่อยๆ อัสดง แสงก็จะขมุกขมัวลงไป

เพราะนั้นไอ้ความเชื่อความเห็น วิธีการต่างๆ รูปแบบประเพณีนิยมนี่ มาเป็นระลอกเลย...เยอะ ผู้ตั้งสำนัก ผู้วิเศษ ผู้มาปัดเป่าขจัดเคราะห์กรรมให้สัตว์โลก จะมาเป็นพรวนเลย 

แล้วพวกเราก็ไปแบมือร้องขอกัน อ้อนวอนด้วยศรัทธาวิงวอน แห่กันไป ...อันนี้มันไม่ผิดเลย มันจะต้องเป็นอย่างนี้ในยุคนี้สมัยนี้ 

แต่ถ้าในสมัยพระพุทธเจ้านะ...ไม่มี  เจอบารมีพุทธะ เจอบารมีสาวกนี่ ... มันหมด เขาเรียกว่าด้วยความสว่างนี่ ความมืดไม่สามารถเข้ามากล้ำกรายได้เลย

แต่ในยุคที่กึ่งกลางพระศาสนาแล้วนี่ แสงสว่างของอริยะนี่น้อยลง เพราะว่า source ของอริยะ หรือว่าตัวตั้งที่มีความสว่างนี่น้อยลง ...ไม่ไหวหรอก มันก็ได้เท่านี้ จำเพาะบุคคล ที่กระเซ็นกระสายมา

ขนาดจำเพาะบุคคลที่กระเซ็นกระสายมาแล้ว มันยังว่า “ฮึ ไม่เห็นได้อะไร” ...ยังมีอีกนะ ประเภทนั่งๆ ฟังอยู่ก็ลุกขึ้น แบบฟังไม่รู้เรื่อง ไม่รู้พูดอะไร  

ถ้ามันอยู่อีกหน่อยเราจะบอก... "กูพูดภาษาคน มึงฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องเอง" ... พูดภาษาคนนี่ คนต้องเข้าใจนะ ...มันไม่เข้าใจนี่มันไม่ใช่คน

เพราะมันไม่ได้อยู่ในความเป็นคน ไม่ได้มีความรู้อยู่กับความเป็นตัวตนในปัจจุบันเลย  เพราะมันไปอยู่กับความเป็นคนที่ไม่มีอยู่จริง คือเรื่องราวในอดีต แล้วก็ความเป็นจริงในอนาคตต่างหาก 

มันเลยไม่ได้เป็นคน มันเลยฟังไม่รู้เรื่อง เพราะเราพูดนี่ภาษาคน เราพูดให้คนฟัง ...ถ้าคนที่อยู่ปัจจุบันแล้วก็รู้แค่ปัจจุบัน แล้วก็น้อมคิดรวมลงในปัจจุบันนี่...จะเข้าใจ 

เพราะเราไม่ได้พูดลึกลับซับซ้อนอะไรเลย เราไม่ได้อ้างคำบาลีมา จนต้องเหมือนกับตะแคงหูฟังเพลงคลาสสิค ซิมโฟนี่น่ะ ที่ต้องปีนบันไดถึงจะฟังรู้เรื่อง...ไม่ใช่

ก็ภาษาธรรมดา เด็กๆ ง่ายๆ  ไม่ต้องใช้สารานุกรมแปล มันก็รู้เรื่องแล้ว...ว่าอะไรคือศีล อะไรคือสมาธิ อะไรคือปัญญา 

ไม่ต้องกลับไปบ้านแล้วก็ไปเปิดสารานุกรม วินัยปิฎก อภิธรรมปิฎก สุตตันตปิฎก ว่าท่านพูดอย่างนี้มันแปลว่าอะไรวะ ...ถ้าอย่างนั้นน่ะต้องไปเช็คประสาทสักหน่อย 

เพราะบอกตรงๆ พูดกันตรงๆ อธิบายอยู่ตรงๆ แล้ววิธีการปฏิบัติก็ตรงๆ ...เพียงแต่ว่า มันรับไม่ได้  เพราะว่ามันมีที่ตั้งไว้เองแล้วว่า ธรรมคืออย่างนี้ ศีลคืออย่างนี้ วิธีการภาวนาคืออย่างนี้ 

แล้วมันไปผูกตัวตนอยู่ตรงนั้น ว่าเป็นตัวเราที่จะต้องอย่างนี้ แล้วจะต้องดีได้เพราะว่าต้องทำอย่างนี้ๆ ... นี่ มันเกินคน มันไปอยู่เกินคนเกินไป มันเลยฟังภาษาคนนี่ไม่รู้เรื่อง  

เพราะพระพุทธเจ้าสอนให้กลับมาเป็นคน ให้กลับมาอยู่กับธรรมดา ให้กลับมาเห็นธรรมดาของคน ให้กลับมาอยู่กับความปกติปัจจุบันของคน ...มันถึงจะเข้าใจสภาพธรรมที่แท้จริง

ไม่ใช่ไปสร้างตัวตนของเรา ตัวตนของคนที่ดี ที่เลว ที่ประเสริฐ ที่ทำศีลสมาธิปัญญาอย่างนั้นอย่างนี้...แล้วจะได้เป็นคนอย่างนั้นอย่างนี้ จะได้เป็นพระอริยะอย่างนั้นอย่างนี้ขึ้นมา 

นั่นมันไม่ใช่คน มันเป็นคนปลอมๆ เป็นคนที่ไม่มีจริง เป็นคนที่อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ...แล้วไม่รู้จะได้อย่างนั้นจริงรึเปล่าก็ไม่รู้

แต่เชื่อซะแล้ว แล้วเชื่อแบบไม่ลืมหูลืมตา แล้วก็จะปฏิเสธทุกอย่างที่ไม่เหมือนกับตัวของมันที่วาดไว้นั่น ...น่ากลัว ไอ้พวกนี้เขาเรียกว่าตกโลก ตกศาสนา ต่อไปเลย 

ไม่ใช่เพราะเป็นกรรม  แต่ด้วยตัวของมันเองนี่ไปผูกไว้...กับอะไรก็ไม่รู้  แล้วไปเข้าใจว่านั่นคือศีลที่แท้จริง สมาธิที่แท้จริง ปัญญาที่แท้จริง ...มันเกินจริง มันล้ำความจริง มันนอกความเป็นจริง  

มันยิ่งไปๆๆ ยิ่งออกไกลห่างจากความเป็นจริงมากขึ้นทุกขณะ  มากขนาดไหน ...จนถอนตัวกลับไม่ได้น่ะ แล้วเกิดเป็นปฏิฆะ ระรานไปทั่ว ..นี่ เสือกไปกินถ่านไฟเอง ช่วยไม่ได้ 

เพราะนั้นน่ะถึงบอกว่า ถ้าไม่เข้าใจจริงๆ นี่ อย่าไปสร้างตัวเราของเราขึ้นมากับอะไร...แล้วมาเปรียบเทียบ ...ทิ้งเลย วางเลย วางความคิดความเชื่อนั้นเลย 

แล้วก็กลับมาอยู่กับปัจจุบัน กลับมาอยู่กับกายปกติ กลับมาอยู่กับกายปัจจุบัน กลับมาอยู่กับภพชาติปัจจุบัน ...เพราะว่าภพชาติปัจจุบันนี่เราปฏิเสธได้ไหม...ว่าเราไม่เป็นคน 

เราเป็นคน ...เรามีกายเป็นสมบัติ เรามีรูปร่างของกายนี่เป็นสมบัติ แล้วรูปร่างของกายในลักษณะนี้...ในโลกเขาเรียกว่า...คน ในภาษาธรรมะก็เรียกว่า...มนุษย์

พระพุทธเจ้าสอนให้กลับมาอยู่กับภพชาติตามความเป็นจริง...ที่ได้ ที่มี และที่เป็น คือภพปัจจุบัน ...เพราะนั้นภพปัจจุบันเราเป็นอะไร ต้องเข้าใจนะ...ว่าเราเป็นคน

เพราะฉะนั้น ศีลนี้แลจึงเป็นเครื่องหมายแสดงความเป็นคน ...เพราะอะไร ... เพราะศีลคือความปกติกาย  ...ถ้าไม่ได้เป็นคนมันจะไม่รู้สึกเย็นร้อนอ่อนแข็งอย่างนี้ ใช่มั้ย 

ถ้าสมมุติโยมไปเป็นเทวดา โยมจะไม่มีความรู้สึกเหล่านี้ ... เพราะโยมจะไม่มีกาย เพราะโยมจะไม่มีมหาภูตรูปสี่ที่รวมตัวเป็นก้อนมีสองแขนสองขานี้

หรือโยมไปเป็นพรหม  โยมก็จะไม่มีความรู้สึก เย็น ร้อน อ่อน แข็ง อย่างนี้ ...เพราะว่าภพชาติปัจจุบันของท่านนั้นไม่ใช่คน เข้าใจมั้ย 

แต่ว่าภพชาติปัจจุบันของพวกเรานี่เป็นคน ...เพราะนั้นศีลนี้แหละคือเครื่องหมายแสดงความเป็นคน  คือความรู้สึกที่ปรากฏอยู่ทุกปัจจุบันกายนี้แหละ คือเครื่องหมายแสดงความเป็นคน

เมื่อใดที่เราออกจากศีล แปลว่าขณะนั้นเราออกจากความเป็นคน ...ไปเป็นคนในอนาคต ไปเป็นคนในอดีต หรือไปยิ่งกว่าเป็นคนในอนาคตก็ได้...คือเป็นพระอรหันต์ เป็นพระอริยะ เป็นผู้ปฏิบัติดี เป็นผู้ที่ได้ธรรมอันสูง แล้วแต่มันจะสร้างคนคนนั้นขึ้นมาน่ะจิต

เพราะนั้นมันจะสร้างกายนี่หลากหลายมหาศาล...จิตสังขาร มันจะปรุงแต่งกายสังขารนี่ทั่วจักรวาล สากลจักรวาล  ...ซึ่งมันเกิน มันล้ำความเป็นคน 

เห็นมั้ย แสดงว่าผู้ไม่มีศีลนี่มันจะเกินคน ไม่ใช่คน ...เพราะความคิดความนึกนี่มันก็เกินคน ไม่ใช่คน  ...มันจึงผิดธรรมชาติของภพชาติปัจจุบัน มันจึงเข้าไม่ถึงความเป็นจริงของสัจจะ

แค่ความเป็นจริงว่ามันเป็นคน มันยังไม่รู้เลย ... อย่ามาถามเรื่องมรรคผลนิพพานเลยนะ ไม่มีทางเลยนะ  ...เพราะผู้ที่จะแจ้งในมรรค คือต้องแจ้งในองค์ศีล คือองค์กาย คือองค์ปัจจุบันภพ องค์ปัจจุบันชาตินี้เลย

เมื่อแจ้ง เมื่อชัดเจนในองค์ภพปัจจุบัน หรือองค์กายปัจจุบัน หรือองค์ศีลปัจจุบันแล้ว ...จนเห็นว่ากายนี้ไม่ใช่เรา จนเห็นว่ากายนี้ไม่ใช่กาย จนเห็นว่ากายนี้ไม่มีกาย  

หมายความว่าภพนี้เป็นภพสุดท้าย ...ถึงเหลืออยู่ก็เหลือเป็นภพสุดท้าย จะไม่ได้ภพนี้อีกต่อไปแล้ว

จบแล้ว มันแจ้งแล้ว มันชัดแล้วในความเป็นคน ว่าไม่มีอะไรในความเป็นคนนี้อีกต่อไปให้สงสัย ...เนี่ย ถึงเรียกว่าถ้าไม่แจ้งตรงองค์ศีลองค์กายนี่ มันจะเข้าไปสืบความเป็นภพสุดท้ายได้อย่างไร

เพราะนั้นพระอนาคามีที่เหลือเป็นชาติสุดท้ายคือชาตินี้ ...คือชาติมนุษย์นี่ คือชาติที่มีกายเป็นขันธ์นี่ คือชาติที่มีมหาภูตรูป ๔ เป็นเครื่องดำรงอยู่ของขันธ์นี่ ...จึงเรียกว่าท่านเหลือภพนี้ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย 

แล้วถือว่าการเป็นคนนี่...ครั้งสุดท้าย ไม่กลับมาเป็นคนแล้ว ...ทำไมถึงไม่กลับมาเป็นคน เพราะท่านเข้าใจแล้วว่า กายนี้ ก้อนของคนนี่ ก้อนของศีลนี่ คืออะไร  

มันไม่ใช่ของเรา ...เป็นมหาภูตรูป เป็นแค่สสาร เป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิต เป็นสิ่งที่ไม่มีความเป็นบุคคล เป็นสิ่งที่ไม่ใช่เอกสิทธิ์ส่วนบุคคลใดบุคคลหนึ่ง เป็นสาธารณธรรมกลางๆ ที่ไม่มีชีวิต ...คือเป็นดินน้ำไฟลมอุณหภูมิเท่านั้นเอง

ท่านเข้าใจโดยตลอดเลยว่าเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ของใคร เป็นกลาง ...ท่านจึงไม่กลับมาครอบครองอีก ...จึงเรียกว่าการเกิดเป็นคนนั้นจบ ณ ชาติปัจจุบันนี้เลย 

แล้วก็เหลือชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ซึ่งรอ...รออะไร...รอมันแตกดับ ...แล้วระหว่างที่รอมันแตกดับ ตรงนี้ คือภพของพระอรหันต์...ที่ยังต้องรออยู่ในปัจจุบัน 

รออะไรล่ะ ...ตรงจิตที่มันรอ ตรงที่มีจิตรอ ตรงที่มีจิตรู้อยู่นั่นน่ะ ตรงนี้คือภพสุดท้าย...ที่รอ ที่มี ที่ตั้งอยู่ ที่ยังปรากฏอยู่

ถ้าเปรียบกับการเกิด ก็เหมือนกับเอาตีนไปหยั่งอยู่ในแผ่นดิน  ตีนนี้มันจะท่องไปในสามโลกธาตุ เป็นที่ที่มันเหยียบหยั่ง คือสามภพ ....แต่ตรงจุดนี้ที่รออยู่นี่ ...เป็นฝ่าตีนสุดท้ายที่มันตั้งอยู่ 

แล้วนอกจากนั้นไปนี่...ไม่มีที่ให้มันเดินแล้ว  มันจะเหลือที่นี้เป็นที่สุดท้ายที่มันยืนอยู่ แล้วไม่รู้มันจะยืนไปทำไม  ตรงนี้คือปัญหา...ของท่าน ไม่ใช่ปัญหาของพวกเรานะ

ปัญหาของพวกเราคือ...หากายให้เจอ แล้วก็อยู่กับกายให้เป็น ...รู้จักคำว่าอยู่กับกายให้เป็นมั้ย...คือว่าอยู่กับกายที่เป็นกายจริงๆ ...ไม่ใช่อยู่กับกายเรา ไม่ใช่ไปอยู่กับกายหญิงชาย ไม่ใช่ไปอยู่กับกายคนนั้นคนนี้

อยู่กับกายจริง อยู่ให้เป็น ...หากายให้เจอแล้วก็อยู่กับกายนั้น กายศีล คือกายปกติ คือกายความรู้สึก คือกายธาตุ คือกายที่รวมตัวกันเป็นก้อนอาการหนึ่ง ชั่วคราวหนึ่ง ขณะหนึ่ง  

แม้จะเป็นอาการวูบวาบ ซาบซ่าน ขยับ ไหว หมุน หัน อย่างนี้ ...มันมีความรู้สึกเป็นลักษณะวูบๆ นั่นแหละ ... ให้อยู่กับกายนั้น บ่อยๆ นานๆ ต่อเนื่อง

อย่ามัวแต่ไปจมปลักแช่อยู่ในกายไหนก็ไม่รู้ กายของเราข้างหน้า กายของเราข้างหลัง เรื่องราวของเราข้างหน้า เรื่องราวของเราข้างหลัง ... พวกนี้เป็นกายที่มันเกินกายจริงหมด  

รวมถึงกายคนอื่นด้วย ...นี่ ชอบคิดแทนคนอื่น ชอบไปหาเหตุหาผลกับคนอื่น ชอบไปหาความเป็นจริงกับคนอื่น ชอบไปหาความเป็นจริงกับการกระทำคำพูดของคนอื่น กายอื่น ...ก็ไม่เอา

มันไปจมแช่หมักดองอยู่กับสิ่งเหล่านั้น ซึ่งเป็นของที่ไม่มีจริง นี่ มันก็เป็นการจมแช่หมักดอง ...เดี๋ยวก็เกลือจับ...กลายเป็นผักกาดดองเค็ม แบบว่า...ดองเค็ม กินนานดี ไม่เน่า เพราะมันไปดองเค็ม

แล้วพอทำให้จิตดีขึ้น...ก็ไปแช่อิ่ม  ก็อยู่นานดีเหมือนกัน  แต่นี้มันกินอร่อย ไม่เค็มปี๋ ...เออ ไม่แช่อิ่มก็ดองเค็ม ไม่ดองเค็มก็แช่อิ่ม ...จิตนี่  

กายตรงนั้นก็เลยดูเที่ยงขึ้นมา ... แต่มันเป็นของที่มันดองด้วยน้ำตาลบ้าง เกลือบ้าง ...คือมันเป็นซากที่มันไม่ยอมตายน่ะ แต่เราก็ไปดอง เดี๋ยวก็เติมเกลือ เดี๋ยวก็เติมน้ำตาล ...กลัวมันเน่าไปรึไง ฮึ

แต่ถ้ามาอยู่ตรงกายปัจจุบัน ...ไอ้กายพวกนี้เน่าหมดเลย  เพราะเผอิญไม่ได้ดองเค็ม ลืมเติมเกลือไปเลย  พอลืมเติมเกลือเติมน้ำตาล มันก็เน่า ... จริงๆ มันเป็นของที่ควรจะเน่าไปนานแล้วด้วยซ้ำ ใช่ป่าว

ก็กะไว้กินข้ามชาติไง กลัวอดอยากในชาติหน้าไง ก็เลยกะว่าจะดองให้นานๆ ซะหน่อย ...โดยเฉพาะแช่อิ่มนี่ แบบรักกันปานจะกลืน เกิดมาชาติไหนขอให้เจอกันนะ ...แน่ะ อะไรปานนั้น 

มันไม่รู้จักหรือไงว่า...การเกิดแต่ละครั้งน่ะมันสบายหรือสนุกดีมั้ย  มันคิดแต่ไอ้ช่วงเวลาที่หอมหวาน ...ก่อนที่มันจะหอมหวานนี่ หึ ลองย้อนดูสิ 

ตั้งแต่อยู่ในท้องแม่มาเก้าเดือนน่ะ เห็นมั้ย กว่าจะเติบใหญ่เติบโต กี่ปีแล้วหมดข้าวไปกี่กระสอบล่ะ หมดแรงเคี้ยวกลืนไปเท่าไหร่  ถ้าเป็นพลังงานก็ประมาณลบดอยได้หนึ่งลูกเลย พลังงานในการเคี้ยวข้าวมาห้าหกสิบปีนี่

มันไม่ใช่ง่ายๆ นะ การเลี้ยงขันธ์นี่ ...แต่พวกเราดูเหมือนไม่เป็นอะไร ไม่เป็นทุกข์ ... แล้วยังจะตั้งภพตั้งชาติไว้รออีกนะ ขอให้เจอกันอีก ...ไปตั้งรอไว้ เหมือนกับไปสต๊าฟไว้เลย ก็ดองเค็ม แช่อิ่มไว้

แล้วก็รอไปสวมมากินตอนนั้น...คือชาติและภพ ได้เจอะเจอกันใหม่ ตอนไหนก็ตาม เวลาไหนก็ตาม มันก็เกิดความเป็นปัจจุบันชาติปัจจุบันภพขึ้นมา ... คราวนี้ก็ร่วมกันดอง ร่วมกันแช่กันต่อไป  อือ อร่อยดี

แต่พระอริยะท่านไม่อร่อยด้วยแล้ว เน่าทุกขวดทุกโหล ทิ้งทุกอย่าง ละทุกอย่างในจิตน่ะ  เหลือแต่ปัจจุบันกายปัจจุบันขันธ์ ...แค่นี้ก็จะตายชักอยู่แล้ว  

ต้องบริหารขันธ์ ด้วยการหมุน การหัน การเดินเหิน การหยิบ การจับ การเคี้ยว การกลืน การอาบน้ำ การพามันเข้านอน พามันไปถูฟัน พามันไปขี้ พามันไปเยี่ยว ...แค่นี้กูก็เหนื่อยแล้ว

นี่ยังไปสร้างขันธ์ไว้ล่วงหน้าอีกไม่รู้กี่ขันธ์ แล้วยังไปคิดแทนขันธ์อื่นอีกไม่รู้กี่ล้านขันธ์...เพื่อโลก เพื่อสังคม เพื่อคนนั้น เพื่อประเทศไทยที่ดีกว่า...มันดีตรงไหน เราต้องถามว่าประเทศไทยอยู่ไหน ขอดูหน่อย

ถ้าเป็นศาลศีลสมาธิปัญญาอย่างนี้ จะต้องถามหาหลักฐาน ...คุณว่าประเทศไทยน่ะ ไหน ขอดูประเทศไทยมันอยู่ตรงไหน ขอดูหลักฐาน ...แล้วยังบอกประเทศไทยของเราอีก 

นี่ยิ่งไปกันใหญ่ ...ขอดูหลักฐาน มันมีตรงไหนวะ ...มันนั่งอยู่นี่ มันยังไม่รู้เลยว่ามันนั่งอยู่ประเทศไทย นั่งอยู่บนเก้าอี้ ไม่รู้ตั้งอยู่ตรงไหน ฮึ ประเทศไทยอยู่ไหน ไม่มีอ่ะ

มันมีเพราะว่าจิตสร้าง ...ดูดีๆ แยบคายหน่อย  ไม่งั้นมันก็จะหลงแบบมั่วๆ ซั่วๆ ...แล้วก็ทึกทักเอาเองว่า นี่ที่ทำมาทั้งหมดนี่เพื่อประเทศไทยและสังคมไทยนะ  

อือ อนุโมทนา ...ไปดีมาดี ไปเถอะไปที่ชอบๆ  อยากชอบอะไรทำไปเลย ไปที่ชอบๆ ...แต่มันจะได้ของที่ไม่ชอบ บอกให้นะ ...เพราะโลกไม่ใช่ของที่มันชอบนะ และไม่ได้อย่างที่มันชอบหรอก 

ก็ได้แต่สั่งเสียกับมันว่าขอให้ไปสู่ที่ชอบๆ เถอะ ...แต่ก็รู้อยู่แล้วมันไม่ได้ของที่ชอบ  เพราะโลกนี้ขรุขระ เพราะโลกนี้บกพร่อง เพราะโลกนี้ไม่เต็ม เพราะโลกนี้ไม่สมบูรณ์ 

เพราะโลกขาดอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้เป็นอย่างที่มันตั้งเป้าไว้หรอก มันถึงเบี้ยวไง ...โลกเบี้ยวนะ และแถมไม่อยู่นิ่งอีกต่างหาก เห็นมั้ย จะเอาความแน่นอนอะไรกับมันได้ ...นี่ ให้เข้าใจ

เอ้าเอาแล้ว มีโอกาสแล้วค่อยมาฟัง ...นานๆ มาฟังที พูดนานหน่อย เผื่อไว้ล่วงหน้า


โยม –  ดีค่ะ วันนี้เข้าใจเยอะเลย เพราะว่าที่ผ่านมาก็เหมือนคลุมเครืออยู่

พระอาจารย์ –  ปัญญา...เหมือนเปิดของคว่ำให้หงายขึ้น  การปฏิบัติธรรมนี่ เวลาเข้าใจแล้วเหมือนของที่มันคว่ำแล้วหงายขึ้น แล้วจะเห็นว่า...อ้อ นึกว่ามีอะไร ...โธ่เอ๊ย


โยม –  ไม่มีอะไร(หัวเราะ)

พระอาจารย์ –  ไอ้ที่มันคว่ำเพราะเข้าใจว่ามีกบ หรือเขียด หรือว่ากิ้งกือ หรือว่าเพชรอยู่ เข้าใจมั้ย ...พอเปิดหงายขึ้น...อ๋อ หายสงสัยเลย  มันไม่มีอะไรจริงๆ ... แค่นั้นเอง...ปัญญา


.................................


วันศุกร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2558

แทร็ก 11/13 (1)


พระอาจารย์
11/13 (560517D)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
17 พฤษภาคม 2556
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ : แทร็กยาว แบ่งโพสต์เป็น 2 ช่วงนะคะ)

โยม  –  พระอาจารย์คะ ขออนุญาตค่ะ  พอดีประสบการณ์ที่ผ่านมา คืออยู่หน้าคลีนิคเป็นเคาน์เตอร์ให้คุณหมอ  คือจะมีความสงสัยอยู่อย่างนึงว่า มีปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับกายเรา เราก็ไม่แน่ใจว่ามันเป็นอุปาทานรึเปล่า 

แต่ถ้ามันเป็นอุปาทาน ทำไมมัน...คือเราไม่ได้รู้เหตุก่อน จิตทำไมมันปรุงได้อย่างไร  คือว่าเราทำงานปกติอยู่ ก็จะรู้สึกปวดแขน ชาแขนขึ้นมาถึงข้อศอก เราก็ตกใจว่าเราป่วยเป็นอะไร 

สักพักนึงก็มีคนไข้เข้ามาหาคุณหมอค่ะ มาทำบัตรใหม่ แล้วก็บอกว่าป่วยเป็นอย่างนี้น่ะค่ะ  เราก็แปลกใจว่าวิบากกรรมของคนไข้...ซึ่งเรายังไม่รู้ล่วงหน้าเลย มาปรากฏกับเราได้อย่างไรน่ะค่ะ


พระอาจารย์ –  เข้าใจมั้ย ว่าจิตนี่มันถึงกัน กระแสจิตนี่มันถึง 

แล้วลักษณะของจิตที่เคยฝึกฝนมาในอดีต มันสามารถเข้าไปรับกระแสพวกนี้  แล้วกระแสจิตพวกนี้ก็จะมาแสดงให้เหมือนกับเป็นอาการภายในขึ้นมา

คือจิตของคนไข้นั่นน่ะเขามีความมุ่งมั่นในความปวด มันมีความแรงของจิตที่มันคุมตัวตนของความเจ็บ แล้วมันเป็นกระแส  แล้วกระแสพวกนี้ลักษณะมันเหมือนกับรัศมีคลื่น 

แล้วลักษณะของจิตเรามันเข้าไปรับกระแสพวกนี้ มันก็จะมาก่อเป็นรูปลักษณ์ตัวตนที่ปรากฏกับขันธ์ปัจจุบันของตัวเอง ...นี่คืออาการของจิต


โยม –  อ๋อ นี่มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้จริงๆ

พระอาจารย์ –  ได้ เกิดได้


โยม –  เพราะว่าก็ยังไม่แน่ใจน่ะค่ะ ว่า...เอ๊ ถ้าเรารู้ล่วงหน้าว่าเขาจะมา ก็เหมือนเราปรุงแต่ง  แต่นี่เราไม่รู้เลย

พระอาจารย์ –  เป็นธรรมชาติของจิต


โยม –  แล้วก็ถ้าว่ามีคนทำงานอยู่ 4-5 คนอย่างนี้ ทำไมมาเกิดกับเราคะ

พระอาจารย์ –  เอ้า ก็บอกแล้วว่าเคยเป็นคนที่ฝึกจิตมา


โยม –  อ๋อ

พระอาจารย์ –  อย่างพวกเราไม่รู้หรอก...ว่าเราเคยฝึกจิตมาเท่าไหร่ แล้วมันมีสันดานในลักษณะนี้อยู่ ที่จะรับรู้รับทราบเรื่องเหล่านี้ โดยที่ตัวเองไม่ได้ตั้งใจทำ ...เป็นเรื่องของจิตเขาทำงาน


โยม –  ถ้ากรณีอย่างนี้ ก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ หรือว่าเราจะต้องปิดอะไรไม่ให้เกิดขึ้นกับเรา

พระอาจารย์ –  ไม่ต้องทำอะไร เป็นเรื่องของมัน ...โยมก็อย่าไปว่าเป็นเรื่องของเรา


โยม –  แต่มันมีครั้งนึงนะคะ จะมีคนไข้...คือตัวคนป่วยมาเลยน่ะค่ะ  แล้วเรา...จิตเราสงสารเขาน่ะค่ะ เขาปวด เขารอพบหมออยู่ เราก็ให้ยาแก้ปวดเขาทานไปก่อน  หลังจากนั้น เราก็ปวดเหมือนเขาเลยทั้งแถบข้างซ้าย ประมาณเดือนนึงค่ะ

พระอาจารย์ –  นี่เป็นลักษณะของจิตที่มันเข้าไปรับอุปาทาน


โยม –  อันนี้เราเข้าใจได้ว่ามันมีตัวตนจริงมาปรากฏนะคะ  เอ๊ เราก็นึก เราอุปาทานปวดกับเขาอย่างนี้

พระอาจารย์ –  อือ มันเข้าไปรับ จิตมันเข้าไปรับเอง


โยม –  นี่ค่ะ แล้วทำงานอย่างนี้มันไม่เสี่ยงกับความเจ็บป่วยของเราหรือ

พระอาจารย์ –  ไม่เสี่ยง ... มันเป็นเรื่องของจิตปรุง...จิตมาปรุงกาย


โยม –  อ๋อ หรือคะ  นี่ก็ป่วยไป...ปวดไปประมาณหนึ่งเดือน ...เราก็ทุกข์น่ะนะคะ

พระอาจารย์ –  เข้าใจมั้ยว่า นี่ เพราะจิตมันไปยึดเป็นอุปาทานขึ้นมา


โยม –  ถ้าเราเห็นแล้วเราเฉย จะไม่เป็นอะไร

พระอาจารย์ –  ใช่ ...อย่าไปจริงจัง


โยม –  เราสงสารเขามาก

พระอาจารย์ –  อย่าไปจริงจัง ...แค่เห็นแล้วก็ให้ดูความรู้สึกเฉยๆ ...อย่าไปน้อม อย่าไปเอามา เป็นตัวของเรา เรื่องของเรา


โยม –  บางคนก็พูดว่าเจ้ากรรมนายเวรของคนนั้นไม่ยอม ต้องมาทำร้ายเราแทนอะไรอย่างนี้

พระอาจารย์ –  เลิกไอ้ระบบเจ้ากรรมนายเวรไปเลย


โยม –  นี่ค่ะพอเขาพูดอย่างนี้ก็กลัว ไม่อยากทำงานให้หมออีกเลย ...คือเรานึกว่าเราก็อ่อนแอ ใจเราก็อ่อนไหว

พระอาจารย์ –  มันเป็นเรื่องของจิต 

เจ้ากรรมนายเวรนี่ ...สมมุติโยมนี่ไปด่าพระอรหันต์สักองค์โดยที่ไม่รู้ว่าเป็นพระอรหันต์ แล้วมันมีเจตนาที่ไม่ดีเป็นหลักมาก่อน นี่ เกิดขึ้นแล้ว มีกรรมแล้ว มีผลของวิบากกรรมแล้ว

แต่ว่าองค์นั้นน่ะเป็นพระอรหันต์ ...หมายความว่าอะไร  หมายความว่าพระอรหันต์องค์นั้นจะไม่กลับมาเกิดอีก  หมายความว่าจิตท่านไม่มีแล้ว หมายความว่าความเป็นบุคคลน่ะหมดสิ้นแล้ว ใช่ไหม พระอรหันต์

แต่กรรมที่โยมทำกับพระอรหันต์นั่นยังเหลืออยู่ วิบากยังมีอยู่ ... ทั้งๆ ที่ว่าจิตท่านตายแล้ว จนขันธ์ตายแล้ว จิตก็ตาย  ...แต่วิบากกรรมที่โยมทำยังไม่หมด...ยังมี  

แล้วถามว่า มันจำเป็นมั้ยจะต้องมีเจ้ากรรมนายเวร เข้าใจมั้ย ...ยังมีใครมาเป็นคนตั้งหน้าตั้งตาเอาเวรเอากรรมกับโยมอีกล่ะ ...ก็พระอรหันต์ท่านไม่มีจิตอีกแล้วน่ะ ไม่มีความเป็นบุคคลอีกแล้วในสามโลกธาตุ 

แต่กรรมยังแสดงผลอยู่ วิบากยังแสดงผลอยู่ ...ต่อให้โยมเกิดอีกร้อยชาติก็ยังแสดงผลกรรมนี้อยู่ เข้าใจมั้ย โดยที่ไม่มีพระอรหันต์องค์นั้นมาเป็นเจ้ากรรมนายเวร

เข้าใจมั้ยว่าไอ้ระบบเจ้ากรรมนายเวรนี่...มันเป็นความเชื่อนะ มันเป็นธรรมเนียมนิยม  จนกลายเป็นรูปแบบขึ้นมาจริงๆ จังๆ  ...จนเกิดความคลาดเคลื่อนในกฎแห่งกรรม 

กฎแห่งกรรมก็คือกฎแห่งกรรม ...ไม่ใช่กฎของบุคคลใดบุคคลหนึ่งที่มาเป็นตัวชี้เป็นชี้ตาย ว่าการเจ็บไข้ได้ป่วยครั้งนี้เพราะว่าเจ้ากรรมนายเวรมันมาบีบ ...ไอ้พวกเหล่านี้หมอพวกนี้มันจะเจอหนัก ไอ้พวกหมอรักษาเส้นนี่แหละ


โยม –  อ๋อ ที่ว่ามาเกาะ

พระอาจารย์ –  ก็ว่าผีมาเกาะ มาที่บั้นเอวบ้างอย่างนี้ ...ถ้าเป็นหมอจริงก็บอก กระดูกทับเส้น ... มันเรื่องของเส้นประสาทมันผิดสมดุล  เข้าใจมั้ย

ถ้าไปพวกระบบเจ้ากรรมนายเวร ก็บอกว่านี่มีผีมาตั้งสิบตัวเกาะอยู่ข้างในนี่  ไปหามาแล้ว แล้วก็ทำพิธีรดน้ำหมากราดน้ำมนต์  มันก็หายไปสักห้าตัวแล้ว ...ก็ว่ากันไป ไอ้นี่คือลัทธิความเชื่อ เข้าใจมั้ย

แต่ถ้าเราเชื่อเรื่องของกรรม กฎแห่งกรรมแล้วนี่  Action เท่ากับ Reaction ... ถามว่าใครเป็นคนสร้างระบบนี้ ...ไม่รู้อ่ะ  แต่ว่ามันเป็นกฎธรรมชาติที่ว่า...คุณออกแรงกระทำเท่าไหร่ คุณจะได้รับผลเท่านั้น  

ถ้าคุณชกกำแพงน่ะ ด้วยหมัดที่กำไว้...แล้วมีเจตนาจะชกให้สุดแรงเกิดน่ะ  คุณจะต้องเจ็บมากขึ้นเท่านั้น...โดยที่ไม่ต้องมีใครทำให้คุณเจ็บเลย

นี่คือกฎของธรรมชาติ นี่คือกฎของกรรม นี่คือกฎแห่งกรรม ...ไม่มีใครหรอกมาเอาคืน ไม่มีใครหรอกมาเป็นเจ้าหนี้เจ้ากรรม จองเวรจองกรรม  แล้วมาชี้ว่า "นี่ จะหมดแล้วนะ ที่ฉันเอานี่มันสะใจฉันแล้ว" ... อู้ย อะไรมันง่ายปานนั้น

ดูพระโมคคัลลาน์ ...เศษกรรมของท่านที่ตีพ่อตีแม่ลงเหวน่ะ สุดท้ายก็ยังโดนตี จนกระดูกแหลก ...พระอรหันต์นะนั่นน่ะ ก็ต้องชดใช้จนหยดสุดท้าย อณูสุดท้ายของการกระทำ action นั้นๆ ...จนมันหมดซึ่งแรง action เป็น reaction สุดท้าย ท้ายสุด

ท่านหนีสามครั้งนะ ก็ไม่พ้น สุดท้ายต้องยอม จนต้องยอมหมดสิ้นกับกรรมนั้นๆ จริงๆ ...นี่คือความสมดุล คืนความสมดุลให้โลก ...จนถึงที่สุดไม่มีอะไรเหลือติดค้างข้องคา แม้แต่แรง อำนาจ วิถี อณูใดอณูหนึ่ง...ยังไม่เหลือ 

เห็นมั้ยว่าท่านยอมรับกฎแห่งกรรมโดยสมบูรณ์ ...ซึ่งจริงๆ ท่านหนีได้ เลี่ยงได้ เหาะหนีสามครั้งสี่ครั้ง หรือจะไม่ยอมถูกตีจนตายก็ยังได้ ... แต่ท่านดูแล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้  ถึงท่านจะหนีไปแค่ไหน ตายแล้วก็ยังเข้านิพพานไม่ได้ เชื่อมั้ย 

หากยังเหลือเศษกรรม ...แม้จิตจะถึงอรหัตแล้วก็ตาม  แต่ยังต้องไปค้างข้องอยู่ในภพใดภพหนึ่ง  เพื่อรอให้หมดซึ่งกรรม อันเป็นสุดท้ายท้ายสุดนี้ ...นี่ จึงไม่มีคำว่าใครเหนือกว่ากรรมเลย


โยม –  แล้วที่ได้ยินมาว่า ...ถ้าเราสำนึกได้ก่อน หรือเราขอขมากรรมไปเรื่อยๆ นี่ จะช่วยผ่อนคลายกรรมนั้น  อันนี้ช่วยได้ไหมคะ

พระอาจารย์ –  ลักษณะนี้ เขาเรียกว่าการอโหสิกรรม ...มันเป็นอุบาย


โยม –  อุบายให้จิตเรา

พระอาจารย์ –  หมายความว่าให้จิตเนี่ย...คลายจากความยึดในการกระทำนั้นๆ


โยม –  เราจะรู้สึกผิดมากๆ

พระอาจารย์ –  อือ แล้วอโหสิ ... คือยิ่งรู้สึกมันมากเท่าไหร่ ก็หมายความว่าไปผูกมันแน่นเท่านั้น ...ก็ใช้คำเป็นกุศโลบายว่าขอขมา ขออโหสิกรรม  

แต่ถ้าเป็นกรรมของพระอรหันต์นี่ จิตของพระอรหันต์นี่  การกระทำ คำพูด ความคิด ความเห็น ทุกอย่างนี่ เป็นอโหสิกรรมตลอดเวลา ...ตัวท่านนี่เป็นอโหสิกรรมตลอดเวลา โดยธรรมชาติเลย

เพราะนั้นน่ะ จะไปขอขมาท่านก็เท่านั้นแหละ ...เพราะท่านจะไม่มีจิตที่ไปถือโทษเอาโกรธเลย ในทุกการกระทำ คำพูด ทั้งของตัวเอง และของผู้อื่น ...คือมันเป็นอโหสิตรงนั้นๆ ตลอดเวลาอยู่แล้ว

แต่ในลักษณะจิตของพวกเรานี่ ไม่ได้อโหสิกรรมตลอดเวลา เข้าใจมั้ย  มันยังมีการข้องและคา ยึดและถือ ...ตรงนี้ท่านก็ใช้คำว่าอโหสิกรรมนี่...มาเป็นอุบาย 

เพื่อให้จิตมันคลายออกจากการข้อง ยึดมั่น แนบแน่น จริงจัง เอาเป็นเอาตายกับสิ่งนั้นๆ การกระทำนั้นๆ แล้วไม่ยอมจบ  เพื่อให้มันคลายออกจากความยึดมั่นถือมั่น ...จากครุกรรมก็จะเบาลงเป็นลหุกรรม

เพราะนั้นตัวลหุ ตัวครุ นี่...มันอยู่ที่อาจิณกรรม หรือความซ้ำซาก ... ถ้าซ้ำซากลงไปนี่ก็ครุล่ะ  คือคิดทั้งวัน ตื่นก็คิด นั่งก็คิด ยืนก็คิดแต่เรื่องเดิมน่ะ โกรธก็โกรธคนเดิมน่ะ ...นั่นครุ เดี๋ยวก็เป็นครุ หนักขึ้นเรื่อยๆ นะ 

แต่ถ้ามันอโหสิ เออ แล้วไปๆๆ ... กรรมที่จะเกิดต่อไปในอนาคต...ถือเป็นลหุ เบาลงไปเรื่อยๆ ...จนหยุดคิดโดยสิ้นเชิง หลุดจากกรรมที่จะได้ในอนาคต ไม่มีแล้ว เข้าใจมั้ย

เพราะจิตมันจะสร้างภพรอ ...ยิ่งสร้างหนักแน่นขึ้นเท่าไหร่ มั่นคงเท่าไหร่ เที่ยงขึ้นเท่าไหร่นะ...ครุ รอรับได้เลยๆ ...แล้วมันจะเจอกันเมื่อไหร่..."ไม่มึงตาย ก็กูตาย" นั่นแหละ คุรุ ...คิดกันเข้าไปเถอะ ไม่ยอมแล้วไม่ยอมเลิก ไม่ยอมอโหสิซึ่งกันและกัน

แต่ถ้าถืออโหสิ ...เออ ช่างหัวมันเถอะ ปล่อย อโหสิ ...จิตมันก็เลิกคิด หยุดคิด หยุดไปซ้ำซาก เป็นครุ เป็นอาจิณ ...อาจิณกรรมคือการสร้างกรรมในปัจจุบันนั่นน่ะจะเป็นอาจิณกรรม

พอมันถอยจากครุมาเป็นลหุ...เบาๆ บางๆ  แล้วก็ถืออโหสิไปๆ  จนคลาย จนรู้สึกว่าคิดก็ได้ไม่คิดก็ได้  จิตก็ราบเรียบเป็นกลาง ... ตรงนั้นน่ะคือการไม่เข้าไปผูกกรรม 

นี่คือวิถีของจิตที่ฝึก...ต้องฝึก ต้องอบรม ...แล้วมันจะรู้ว่า ทำ พูด คิด อย่างไรจึงเรียกว่าอยู่เหนือกรรม ไม่อยู่ใต้อำนาจของกรรม

เพราะนั้นตัวพระอรหันต์เท่านั้นน่ะที่จะอยู่เหนือกรรม  ถ้าต่ำกว่าพระอรหันต์ลงมานี่อยู่ใต้อำนาจของกรรม ...เพราะยังมี “เรา” เป็นผู้กระทำอยู่  

เพราะนั้นความเป็น “เรา” นี่ไม่ได้หมดสิ้นที่โสดาบันนะ  สักกาย...ตัวเราของเรา ไม่ได้หมดที่ความเป็นโสดาหรืออริยะขั้นต้นนะ ...เป็นจนถึงพระอรหันต์นั่นแหละ

ความยึดมั่นถือมั่นในตัวเรื่องของเรา...ตัวของเรานี่ ยังมี...ลึกๆ ละเอียดๆ  ละเอียดถึงขั้นไม่เห็นหน้าตาว่าเป็นตัวเรา ...แต่ยังมีความรู้สึกเป็นตัวเราอยู่  

เพราะนั้น การกระทำ คำพูด ทุกอย่างยังมีผลสืบเนื่อง...เป็นกุศลบ้าง เป็นอกุศลบ้าง...ในปัจจุบันชาตินั้นๆ ให้เป็นทุกข์

แต่พอเป็นพระอรหันต์ปั๊บนี่  การกระทำ คำพูด เป็นอโหสิกรรมหมด ... ทีนี้ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่พระอรหันต์


โยม – อยู่ที่เรา

พระอาจารย์ –  เออ ตรงนี้ เขาเรียกว่าแกว่งตีนหาเสี้ยน  ปึ้บนี่...คือมันเกิดความพอใจมั่ง ยึดมั่ง เอาผิด จับผิดจับถูกกับท่าน ...ตรงนี้เขาเรียกว่าสร้างกรรมโดยใช่เหตุแล้ว 

เขาเรียกว่าอยู่ดีไม่ว่าดี ไม่รักษาจิตเจ้าของ ...ไม่คิดก็ตำรวจไม่จับ เข้าใจมั้ย  แล้วไม่สำรวมระวัง ...ท่านก็ห้ามไม่ได้ อันนี้ท่านก็ห้ามไม่ได้

เพราะนั้นการกระทำคำพูดของท่าน ปึ้บนี่ คนพอใจหรือไม่พอใจปุ๊บ  ตัวนี้มันก็จะมีส่งผลกับคนนั้นด้วย ...แล้วการกระทำของคนนั้นก็ส่งผลกับตัวท่านด้วย 

เช่นมาด่าบ้าง หรือแสดงอากัปกริยาที่ไม่นอบน้อมบ้าง อะไรอย่างนี้  เพราะนั้นท่านก็ต้องรับผลเหมือนกันนะ ...แต่ว่าจิตท่านนี่ถือว่าขาดกันแล้ว

แต่ว่าผลของกรรม การกระทำคำพูดของท่านยังส่งผลอยู่นะ เข้าใจมั้ย  เพราะมันไปส่งผล...ผู้มีกิเลสเข้าไปรองรับการกระทำของท่าน...ว่าเป็นตัวตนอย่างนี้ อย่างนั้น อย่างโน้นขึ้นมา 

เพราะนั้นมันก็มีผลกรรมอยู่ในโลก  ตราบใดที่มีขันธ์ก็มีผลกรรมในปัจจุบันนั้นอยู่เป็นระยะๆ ...แต่ว่าจิตท่านนี่จะห่าง ขาดแล้ว  มันคนละร่องกันแล้ว

เพราะนั้นว่าการกระทำของท่านก็เหมือนกับนกบินไปในอากาศ  มันไม่มีร่องรอย...ไม่มีร่องรอยที่ตกค้างว่า...เป็นตัวของท่านที่เคยกระทำ เป็นตัวของท่านที่รับผลการกระทำ เป็นตัวของท่านที่จะได้ผลในการกระทำข้างหน้า ...ไม่มีแล้ว ตัวนั้นไม่มีแล้ว

เพราะนั้นร่องรอยไม่มี ...แต่ว่ามันจะมีผลมาเป็นระยะ เนื่องด้วยคนที่โง่...ที่กระทำต่อท่านต่างหาก  แล้วไอ้พวกนี้ เขาเรียกว่าเล่นของสูง ...เจอหนัก เจอแบบไร้สาระ เจอแบบไม่ควรจะเจอ

เพราะนั้นจริงๆ น่ะ ต้องไม่ใช่ว่าจำเพาะแต่กับพระหรืออรหันต์ ...ที่มันต้องสำรวมจิตทุกขณะ ...ทุกผู้คนเลยนะ ไม่ใช่จำเพาะแต่เวลาเจอพระ หรือว่าที่คิดว่าท่านเป็นอรหันต์รึเปล่าไม่รู้นี่ ก็สำรวมจิตระวังแน่น 

แล้วพอเวลาเจอคนทั่วไปแล้วก็ด่าต่อ คิดว่า...ไม่เป็นไร กรรมมันเล็กน้อย ...นี่ ไม่ได้นะ ...มันต้องสำรวมจิตทุกขณะ ทุกบุคคลด้วย  วาจาด้วย กายด้วย 

เพื่ออะไร ...เพื่อให้มันอยู่ในกรอบศีล ไม่ละเมิดศีล ...จิตมันจะล่วงละเมิดศีล แล้วมันจะก่อเรื่องโดยใช่เหตุ ...มันนึกว่าสบาย นึกว่าสนุก นึกว่าสะใจ ...นั่นแหละ เอาเหอะๆ เดี๋ยวจะเจอผล 

มันไปสร้างภพไว้แล้ว รอชาติจะบังเกิดเท่านั้นเอง ... เมื่อเหตุปัจจัยพอดีกันเมื่อไหร่ ปึ๊บ ชาติบังเกิด นั่นแหละ ตามภพนั้นๆ ที่มันสร้างไว้รอ...จิตน่ะ ไปกระทำไว้เสร็จสรรพแล้ว มโนกรรม...สำเร็จ

เพราะนั้นในระหว่างวัน...ทุกวัน...ทั้งชีวิตนี่  จิตนี่สร้างมโนกรรมไว้...ไม่ถ้วนเลย ...เพราะเราอยู่ด้วยความเผลอเพลิน เพราะอยู่ด้วยความไม่รู้ตัว เพราะอยู่ด้วยความปล่อยปละละเลย 

เพราะอยู่ด้วยความที่ว่าตามอำเภอใจ ตามอำเภอความอยาก ความคิด ...พวกนี้ มันจะสร้างภพน้อย ภพใหญ่ ภพหยาบ ภพละเอียด ภพประณีต ภพอันเลว ภพอันดี ...เยอะแยะ

พอเหตุควรปรากฏ ...ปัจจุบันปรากฏด้วยเหตุอันควร บุคคลอันควร...พอดีกัน สังเคราะห์กันปึ้บ เสริมสวมได้กับภพไหนในจิต...ปัง ชาติบังเกิด อุปาทานชาติ อุปาทานขันธ์ ตรงตามเป็นปัจจุบันชาติปัจจุบันขันธ์เลย

นี่คือระบบ...ซึ่งไม่มีใครจัดการระบบนี้ ... นี่คือกฎ แต่เป็นกฎของธรรมชาติ นี่คือกฎของจักรวาล 

นี่คือกฎของสังสารวัฏกับผู้ที่อยู่ในสังสารวัฏ...จะต้องอยู่ภายใต้กฎนี้ โดยมิอาจก้าวข้าม มิอาจล่วงเกิน มิอาจเปลี่ยนแปลง มิอาจแก้ไข ด้วยอำนาจใดอำนาจหนึ่งเลย


(ต่อแทร็ก 11/13  ช่วง 2)