พระอาจารย์
11/16 (560523C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
23 พฤษภาคม 2556
(ช่วง 2)
(หมายเหตุ : ต่อจากแทร็ก 11/16 ช่วง 1
หาหลักให้เจอ หาศีลให้ได้
อยู่กับศีลให้ได้...ให้นาน ให้ต่อเนื่อง ให้ไม่ขาด ให้ไม่เว้นวรรคขาดตอน
ถ้าทำได้
ถ้ารักษาศีลได้อย่างไม่เว้นวรรคขาดตอนนี่ หรือรักษาความรู้ตัว
รักษากายไว้ไม่เว้นวรรคขาดตอนนี่ ไม่ต้องถามหาผล ...มีแต่ผลน่ะเขาจะประเคนมาให้
เหมือนพระนี่รับประเคน
เป็นพระแล้วต้องรับประเคน เข้าใจรึเปล่า …เหมือนกัน ถ้าได้ทำแล้วมันเป็นพระ พอเป็นพระแล้วมีแต่ผลน่ะประเคนให้
ความเบา ความสบายกาย สบายใจ ความไม่มีอาลัยอาวรณ์ในกายในใจ ความไม่มีห่วงหากังวลในอดีตในอนาคต มันหมด มันหาย
มันจาง มันสิ้น ...จนมันไม่หวนคืนเลย
ไม่รู้เมื่อไหร่น่ะ ...เอากายไว้
ตายแล้วก็เลิกภาวนา เกิดใหม่ภาวนาต่อ ...ตั้งจิตให้มันเป็นอย่างนี้
ตั้งความมุ่งมาดปรารถนาในสัจจะธิษฐานให้มันได้
อย่ามากำหนดเป็นวันเป็นเวลา ...เอาตายเข้าว่า ...ก็ไม่เลิก ก็ไม่หยุด ในการที่ผูกหลัก ตั้งหลักตั้งฐานศีล ฐานกาย ... จนมันสามารถจะตั้งได้ในทุกสถาน
ทุกเหตุการณ์ ทุกบุคคล ทุกสถานะที่เกิด
หรือกำลังจะเกิดเหตุการณ์...ที่ดี ที่ร้าย
ที่รับได้ ที่รับไม่ได้มาก่อน ... ก็ต้องตั้งได้
ศีลก็ตั้งได้ กายก็ตั้งได้ รู้ก็ตั้งได้อยู่ตรงนั้น
ปัญญารู้เห็นทั้งภายในภายนอกได้ตรงนั้นโดยฉับพลันทันที
หรือโดยที่ว่ามันรักษามาโดยต่อเนื่องแล้วตรงนั้นเกิด ก็ด้วยความไม่หวั่นไหว
แต่ถ้ามันไม่ได้ปฏิบัติแบบต่อเนื่องชัดเจนในองค์ฐานของศีลสมาธิปัญญา ...พอถึงวาระคับขันนี่ เจอเหตุการณ์ที่มันเกินคาดฝัน เกินคาดหมาย
เลวร้ายเกินที่จะรับได้อย่างนี้
ตรงนั้นน่ะ พอจะหาคำว่ารู้ตัวยังไง ศีลอยู่ตรงไหน
จะตั้งมั่นนี่จะอยู่ยังไง ...มันจะหาไม่เจอ ไม่รู้จะทำยังไงดี อลหม่านสับสน หาคำภาวนาไม่ถูก
หาจุดภาวนาที่เคยไม่ได้
ต้องถอย ต้องถอน ต้องหนีก่อน
พอเจออาการอย่างนั้นน่ะหรือ ...แล้วสมมุติว่ามันถอนไม่ได้ หนีไม่ได้ล่ะ เช่น
ใกล้ตายอย่างนี้ หรือว่ามีเวทนาหนักๆ นานๆ ล่ะ
ซึ่งไม่ใช่ไอ้เวทนาอย่างที่เราอยู่นี่ ลมพัดทีวูบ
อากาศอ้าวนี่ เดี๋ยวพอเข้านั่งรถปุ๊บเย็นปั๊บ มันเปลี่ยนแปลงไปมา ...ไอ้เวทนาอย่างตอนนี้นี่เล็กๆ น้อยๆ น่ะ มันไปแล้วก็มา มาแล้วก็ไป
มันก็รู้สึกพอรับได้ ...เออ เหมือนฤดูมันยังมีเปลี่ยนน่ะ สามเดือนสองเดือนก็เปลี่ยนที มันไม่ฝนตกตลอด เออ มันก็พอรับได้ เข้าใจได้ ว่ามันมีความแปรปรวน
แต่ถ้ามันป่วยไข้ขั้นตายนี่ ...เวทนามันมา แต่มันไม่ค่อยไปน่ะ มันกะว่าจะอยู่กันจนตายไปข้างหนึ่งนี่ จะทำยังไง ถ้ามันต้องไปเจอเวทนาหนักๆ มีอุบัติเหตุ เป็นอะไรก็ได้นี่
หรือไปเจอเวทนากำลังจะตาย เป็นมะเร็งตั้งแต่อายุไม่เท่าไหร่นี่ แล้วมันปวดแบบไม่หาย
มาแบบไม่กลับ เหมือนไม่กลับน่ะ เหมือนมันเที่ยงเลย
เหมือนมันผูกตายขายขาดอยู่ในขันธ์นี่
เอาไงดีล่ะทีนี้
จะตั้งตรงไหนล่ะศีลน่ะ สมาธิล่ะ ...เวทนาหนักๆ แรงๆ นี่อย่าถามหาสมาธิเลยนะ ...ไม่มี
หาที่ตั้งไม่ได้เลยแหละ
หาที่ตั้งรู้ตั้งเห็นไม่ได้เลยในท่ามกลางมรสุมที่เป็นสลาตัน นั่นน่ะ
มหาวิบัติภัยในขันธ์เลย
ถ้ามันไม่ฝึกจนมันเกิดความชัดเจนในศีลสมาธิปัญญาแล้ว
เวลาเอามาใช้งานนี่ มันใช้ไม่ทันน่ะ ...เพราะมันเก็บไว้ในซอกลึกของหัวใจเกินไป
กว่าจะเปิดเซฟได้ ติดรหัสบานเลยกู ...เอามาใช้ไม่ทันการ
เพราะมัวแต่เก็บเพลิน ...เคยทำ เคยได้
เคยรู้อยู่กับกายอย่างนั้นดูอย่างนี้ แล้วมันจะเป็นกลางเท่านี้ ... พอถึงวาระปุ๊บ มันมาจ่อหน้าปั๊บนี่ กางตำรา เปิดตำราไม่ทัน
หรือจะไปเปิดเซฟที่เคยทำมาแต่อดีต ไปค้นมันอยู่ตรงไหน ...มันวางยังไง
ถึงจะออกจากเวทนา ถึงจะอยู่กับมันด้วยความสงบสันติ หรือเป็นกลาง
หรือไม่มีเราไม่เป็นเรากับมัน ...นี่ ไม่ทัน
รีบๆ ฝึกกันซะ ให้มันหลุด ให้มันพ้น นั่นแหละค่อยนิ่งนอนใจได้ ...ระหว่างนี้ยังนิ่งนอนใจไม่ได้ จะลาเกษียณพักงานก็ไม่ได้
ลากิจลาป่วยก็ไม่ได้ ไม่เหมือนงานอื่นยังลาได้
งานในองค์มรรคนี่
อย่าแม้กระทั่งคิดว่าจะลากิจลาป่วย หรือแอบ...คือไม่ได้ป่วยแต่แอบว่าป่วย ...ไม่ได้น่ะ ลาเมื่อไหร่ พักเมื่อไหร่ ปึ่บ อวิชชาโมหะตัณหาอุปาทาน ครอบขันธ์มิด
จนหากายหาใจไม่เจอ
เพราะนั้นในท่ามกลางการงาน ระหว่างงาน
ระหว่างการดำเนินชีวิต...กายมีมั้ย...นิดนึงก็เอา หน่อยนึงก็เอา ถี่ๆ บ่อยๆ
ถึงแม้มันจะต่อเนื่องได้ไม่นานก็ตาม ...ก็อย่าให้มันห่างศีล
จนมันเกิดความลำพองจิต
คือมันเกิดความที่กระด้างกระเดื่องต่อศีลสมาธิและปัญญา ...ทุกคนน่ะจะเคยเจอจิตที่มันกระด้างกระเดื่องต่อศีลสมาธิปัญญา ...แต่เอาไม่เห็น เอาไม่อยู่
แบบว่าเห็นไม่มีเรื่องอะไรน่ะ แล้วกูจะปล่อย ให้มันล่องลอย
เพลิดเพลิน ไปกับอะไรต่ออะไรอย่างนี้ …แล้วพอจะให้กลับมาอยู่กับตัว
กลับมาอยู่กับกาย นี่ เหมือนกับเด็กห้าขวบจับฉีดวัคซีนน่ะ เคยมั้ยล่ะ ...
พอจับเข้าแถว ครูต้องไม่บอกนะว่าจะไปฉีดวัคซีน ถ้าบอกปึ้บนี่มันจะเอาแล้ว ผมป่วย
หนูป่วย หนูขอลาเข้าห้องน้ำ นี่จับเด็กฉีดวัคซีน หรือฉีดยา ...นี่ จิตเหมือนกัน มันเลี่ยง หลบ แล้วเอาไม่อยู่
นั่นแหละก็พากเพียรลงในที่เดียวนั่นแหละ
กายอยู่ที่ไหนก็รู้ลงไปที่ตรงนั้น ปัจจุบันอยู่ที่ไหนก็รู้ลงในปัจจุบันนั้นๆ ...อันไหนที่มันจะพาออกนอกปัจจุบัน ....ก็ละซะ
ภายนอกที่จะพาออกนอกปัจจุบันก็ละ
ภายในจิตเจ้าของที่จะออกนอกปัจจุบันก็ละซะ ... แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาละและก็วางจิตพวกนั้นซะ
อย่าตกอยู่ในความประมาทเผลอเพลินไปตามอาการที่มันออกนอกกายออกนอกใจ ...แล้วคิดว่าไม่เป็นอะไร ไม่เสียหายอะไร
ในโลกน่ะดูเหมือนไม่เสียหายอะไรหรอก ...เพราะอะไร เพราะว่านี้คือสิทธิของคนในโลก เพราะสิทธิของคนในโลกเขาจะอยู่ในอาการนี้
ก็เลยได้สิทธินั้นไป คือ...ได้สิทธิในการเกิด
เพราะนั้นน่ะ การที่อยู่ในศีล ในสมาธิ ในปัญญา
ในมรรค นี้ไม่ใช่สิทธิของคนโลก ...หมายความว่านี่เป็นผู้ที่จะไม่กลับมาอยู่ในโลกอีกต่อไปในภายภาคหน้าน่ะ
จะใช้สิทธิ์นี้รึเปล่าล่ะ ...มีสิทธิ์แต่ไม่ใช้สิทธิ์ นี่ก็ไม่ว่ากัน ...ก็ประมาท เผลอๆ เพลินๆ หลงๆ ลืมๆ
อยู่ในโลกไป ป้ำๆ เป๋อๆ เลื่อนๆ ลอยๆ ไหลๆ ไป
แต่ถ้าจะออกนอกโลก นอกจักรวาล นอกขอบเขตของอนันตาจักรวาล ...นีี่ ต้องอยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา ...ไม่อยู่ในโลก ...แม้กระทั่งยังไม่ทันตาย
ก็ไม่ต้องอยู่ในอารมณ์โลก หรือไปอยู่กับภายนอกขันธ์
แล้วก็ศีลสมาธิปัญญานะ ต้องอย่างจริงจังขึ้น เข้มข้นขึ้น ไม่ใช่ละลายจางคลายลง ...ถ้าเมื่อใดศีลสมาธิปัญญาเข้มข้นขึ้น สิ่งที่ละลายจางคลายคืออวิชชาตัณหาอุปาทาน...พร้อมกับความรู้สึกที่เราเป็นทุกข์
เนี่ย พากเพียร จนหมดสิ้นอายุขัย ไปแต่ละวรรค แต่ละขั้น แต่ละตอน แต่ละชาติแต่ละภพ ...แล้วมันจะสร้างสมอุปนิสัยบารมี สันดาน ที่ เอ๊ะอ๊ะ อะไรขึ้นมา มันก็กลับมาอยู่ที่ศีลสมาธิปัญญาเองโดยไม่ได้ตั้งใจ
นี่เรียกว่าสันดานเกิดขึ้นแล้ว
เป็นนิสสยปัจจโย เพราะว่ากายนี่มีปัจจโยหลายอย่าง ขันธ์ห้ามีปัจจโยหลายอย่าง
มีปัจจัยหลายอย่างที่ก่อเกิด
อาศัยนิสสยปัจจโยที่เป็นศีลสมาธิปัญญา
มันก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่มาก่อเกิดขันธ์เพื่อให้มาเรียนรู้ขันธ์ต่อไป
โยม – ถ้าอย่างหลวงพ่อพูดในแง่ของความเจ็บปวดน่ะเจ้าค่ะ
ความเจ็บปวดในขั้นสุดท้ายใกล้ตายนี่ ในพระอริยะท่านจะเห็น
คือไม่เกาะกับอาการที่มันบอกว่าปวดว่าเจ็บ อย่างแบบแยกนี้เลยหรือเจ้าคะ
พระอาจารย์ – น้ำกับน้ำมัน ...เหมือนน้ำกับน้ำมัน
โยม – จะรุนแรงแค่ไหน ก็เห็นเป็นแค่ลักษณะอาการปรากฏ
พระอาจารย์ – อือ
โยม – มันแยกออก
ไม่เหมือนคนปกติที่เกาะเกี่ยว
พระอาจารย์ – มันไม่มีการคละเคล้าในขันธ์
โยม – แต่ขันธ์มันต้องแสดงสีหน้า ขมวดคิ้วนิ่วหน้า
มีไหมเจ้าคะ
พระอาจารย์ – มี
มันก็มีตามสันดานขันธ์
โยม – แต่มันไม่เข้าไปเกาะว่า “เรา” หรือใคร
พระอาจารย์ – อือ เพราะกล้ามเนื้อกาย
ส่วนมากเป็นกล้ามเนื้ออัตโนมัติเยอะ เยอะกว่ากล้ามเนื้อที่บงการได้ แล้วลักษณะบางลักษณะมันเป็นอัตโนมัติของทุกขเวทนาที่มันสร้างรัดรึงขันธ์ขึ้นมา
แต่ว่าใจนี่ มันขาดจากขันธ์โดยสิ้นเชิงแล้ว หมายความว่าความเกาะเกี่ยวในขันธ์...ด้วยจิตด้วยอวิชชาไม่มีแล้ว
โยม – อย่างที่จำได้ถ้ารักษา ...อย่างที่หลวงปู่เคยเข้าโรงพยาบาลนี่
เพราะว่าหลวงปู่แพ้อาหารเป็นพิษ แล้วหลวงปู่ก็บอกว่ามันทรมานนะ ถ้าไม่ได้มาช่วย
หลวงปู่อาจไม่ไหว หลวงปู่เคยพูดประมาณนี้ ...ก็แสดงว่าทางกายนี่ก็ต้องรักษาเขาไปตามสภาพขันธ์แต่จิตเราไม่แตะ
พระอาจารย์ – ใช่ ลักษณะของวิบากมันมีอย่างนี้
แล้วก็ความรู้สึกเป็นทุกข์ที่มันทับในขันธ์นี่มี ...แต่ลึกๆ ในลึกๆ นี่ ในใจลึกๆ นี่
จะไม่มีความเป็นทุกข์มาก
แต่ว่านี่คือมันทุกข์ปกติที่แสดงออกให้คนทั่วไป...ให้รู้ว่าระดับนี้ทนไม่ได้แล้ว โดยสมมุติ โดยภาษา โดยอาการให้คนทั่วไปเห็น ...คือถ้าท่านไม่รักษาหรือท่านไม่บอกนี่
ขันธ์นี้ไม่รอด
แล้วก็เยียวยาไป บรรเทาไป ในระดับนึง อย่างนั้น ... แต่ถึงหมอไม่รักษาแล้วเกิดตายลงต่อหน้าต่อตา ใจท่านก็ไม่ว่าอะไร
แต่การรับรู้รับทราบเวทนานี่
เท่ากันกับคนปกติ ...เหมือนกัน แล้วอธิบายได้ด้วยคำพูดภาษาเหมือนกัน ...มีเท่ากันหมด
ความรู้สึกเข้มข้นในความเจ็บปวดเท่ากัน
แม้ว่าดูว่ามันแรงขนาดไหน มันน้อยขนาดไหน
แล้วจะทำ ต้องแก้ แล้วมันมีความบรรเทาขึ้นในขันธ์ ก็แก้ไปตามอาการ นี่ในลักษณะที่มันแก้ตามอาการได้
แต่ถ้าสมมุติไม่มีหมอรักษาหรืออยู่ในป่า ถ้าอย่างนี้ท่านไม่สนเลย แล้วไม่คิดด้วย ...ก็คนละสถานะแล้ว เข้าใจมั้ย
โยม – หรือจะหลบไปอยู่ในภาวะที่...
พระอาจารย์ – ไม่หลบ ไม่ได้หลบอะไร ...มันยอมรับ ถือว่ายอมรับโดยปริยาย ยอมรับโดยสภาพ... แต่เมื่อใดที่มันอยู่ในสภาวะที่มีหมอมีคนดูแล
มันก็อยู่ในฐานะที่บรรเทาได้ก็บรรเทาไป
โยม – ถ้าในภาวะที่มันไม่มีใคร
แล้วอยู่ลำพัง ถ้ามันจะบรรเทา อย่างเข้าไปอยู่ในฌานนี่
พระอาจารย์ – ไม่เข้า ...ถ้าเป็นในระดับพระอริยะ ไม่เข้าเลย
โยม – อริยะของหลวงพ่อหมายถึง
พระอาจารย์ – ที่สุดแล้ว ไม่เข้าเลย
ตั้งหน้าตั้งตาดูอยู่คู่กัน...มองกัน เหมือนกับมองสิ่งของ เหมือนของกองหนึ่ง
โยม – อย่างครูบาอาจารย์บางองค์ท่านผ่าตัดโดยไม่ดมยา
พระอาจารย์ – นั่นก็แล้วแต่ท่านมีกำลังเป็นรากฐานของสมถะ
โยม – ก็แล้วแต่ว่าจะใช้กำลังของสมถะนั้น
ในภาวะนั้นๆ ไหม
พระอาจารย์ – ถ้ามันมีเหตุ เช่น
รับยาสลบไม่ได้ หรือว่ามันจะมีอาการข้างเคียง มันมีปัจจัยหลายอย่าง ไม่เหมือนกันหรอก
ความเป็นไปในจิตของพระอรหันต์
อย่างอาจารย์มหาทองอินทร์น่ะเป็นโรคไต ...ก่อนตายกำลังใกล้จะตาย หมอเขางดอาหารรสจัดทุกชนิด เพิ่นก็บอกว่า เบื่อโว้ย
ทำอะไรอร่อยๆ มากินหน่อย อยากกิน ...นี่ มันเป็นความคุ้นเคยในขันธ์
แล้วก็ท่านไม่เอามาเป็นธุระในการที่ทำพูดคิดแล้วจะได้หรือไม่ได้มา ...แต่ความคุ้นเคยของขันธ์
เหมือนมีกิเลส เหมือนมีความอยากเท่านั้นเอง เป็นนิสัย อุปนิสัย หรือว่าอุปสันดาน
วาสนา
แต่ถึงไม่ได้กินจริงๆ
ท่านก็ไม่กระวนกระวาย เข้าใจมั้ย ...แต่ดูเหมือนกระวนกระวาย
เพราะความเคยชินแต่เดิมเท่านั้นเอง
โยม – ถ้าได้ยินอย่างนี้
คือมันต้องระวังภายในของผู้ได้ยินด้วย ไม่ไปตัดสินว่าถูกหรือผิด ทำไมเป็นอย่างนั้น
พระอาจารย์ – ใช่ อย่าไปเปรียบเทียบ
ก็ระวังกายใจไว้ อย่าให้มันล้ำ ล้ำกายล้ำใจ ... เรียกว่าสำรวมจิตอยู่เสมอ สำรวมอยู่ในศีล
อยู่ในกายอยู่เสมอ
มันจะต้องเข้าไปสู่ความระงับ จิตวิเวก
อย่างวิสุทธิจิตจริงๆ เรียกว่าจิตวิสุทธิจริงๆ นั่นแหละ
มันถึงค่อยเข้าไปลบล้างกิเลสขั้นนอนเนื่อง...อาสวะอนุสัย
แล้วมันจะต้องอยู่ในภาวะนั้นระยะนึงก่อน มันจึงจะหลุดขาดโดยสิ้นเชิง ...แล้วทุกอย่างจะคืนเหมือนเดิม
เหมือนเป็นปกติเช่นเดิม ลักษณะเดิมของขันธ์ อุปนิสัยเก่าก่อน
ทุกอย่างจะเป็นไปโดยที่ว่า เกิด-ดับๆ พร้อมกันตรงนั้นเป็นปัจจุบัน
โดยที่ไม่ต้องควบคุมระมัดระวังอะไร ...มันขาดแล้ว ถือว่ามันขาดแล้ว
..................................