พระอาจารย์
11/9 (560506F)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
6 พฤษภาคม 2556
พระอาจารย์ – ให้มันขยัน ... ตัวมันน่ะ ไอ้คนฟังนี่ถ้ามันขยัน
แล้วมันก็ได้มรรคผลนิพพานของมันเองน่ะ มันไม่ได้ประโยชน์ของเราเลยนะเนี่ย มันได้กับคนนั้น...คนฟังแล้วเอาไปทำน่ะ ประโยชน์ก็ได้กับตัวเองทั้งนั้น ... จะมาขี้เกียจขี้คร้านทำไม
ไอ้เราซะอีกมันน่าจะขี้เกียจพูดมากกว่า
ใช่มั้ย ไม่เห็นต้องพูดเลย เราก็ไม่ได้ตกนรก ขึ้นสวรรค์ ลงเหวลงห้วยอะไรด้วยนี่ เพราะนั้นการที่พูดนี่คือ...เห็นอกเห็นใจในความที่ตกระกำลำบากกับความเคยชิน
แล้วไม่รู้ตัวว่านอนตายอยู่กับความเคยชิน โดยอาศัยความรู้นิดๆ หน่อยๆ
ที่ว่าพอเข้าใจในองค์ศีลสมาธิปัญญา
เราถึงบอกว่าแค่นี้มันไม่พอ
มันต้องให้มากกว่านี้ ... มันเอาจนเต็มน่ะ เต็มจนไม่มีพื้นที่
ให้หลงเหลือสำหรับความหลง ลืม เผลอ เพลิน ความคิด อดีตอนาคต ...ถ้ามันรู้ตัวเต็ม
มันจะไม่มีพื้นที่ว่างให้ที่อื่นเลย...จิต ที่มันจะแสดงอาการบ้าบอคอแตกไร้สาระ
แต่ตอนนี้น่ะมันจิตยุ่บจิตยั่บ
คิดยุ่บคิดยั่บ อารมณ์นิดอารมณ์น้อยเต็มไปหมด วนเวียนไปหมด จนหากายใจแทบไม่เจอเลย กว่าจะลงมากายใจที...ได้ซักที ซักพักนึงนี่ หอบแฮ่กๆ เหมือนหมาหอบแดด เหนื่อยเลยน่ะ
เอากันจนเหนื่อยเลยน่ะ
แล้วถ้าเราไม่พากเพียร อดทนที่จะซ้ำซากๆ
จริงๆ จังๆ นี่ มันจะหลุดจากอาการหมาหอบแดดไม่ได้หรอก ...เพราะว่ากิเลสทับถมน่ะ
กิเลสตัวเองก็พอแรงแล้ว ยังกิเลสคนรอบข้างอีก
กิเลสที่เราจะต้องพบเจอประจำวันอีก สำหรับสิ่งที่ไม่ได้คาดไม่ได้หมาย แบบขาจรก็มี ...ไอ้กิเลสขาประจำก็มี คือในครอบครัว คนรอบข้าง คนใกล้ชิด
คนที่จะต้องผูกพันกันด้วยเหตุอันควรและไม่ควรก็ตาม แล้วยังมีขาจรเวียนมาอีกนะ
เพราะนั้นมันจะมีเรื่องที่จะต้องหลุดต้องรอด
ต้องออกไปคิด ต้องออกไปปรุง ต้องออกไปสร้างอดีต ต้องออกไปสร้างอนาคต
ต้องออกไปสร้างความหวังความหมาย ต้องออกไปสร้างเกราะป้องกันตัวเองในอดีต
ตัวเองในอนาคตอยู่ตลอดเวลา ...กาย-ใจปัจจุบันจึงหาได้ยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร
เราจะต้องฝึก ...เมื่อได้ทีก็ต้องขี่หมาไล่
ขี่แพะไล่น่ะ เช่น เวลาอยู่คนเดียว เวลาไม่ได้ทำการงาน เวลาที่กลับมาอยู่บ้าน
กลับมาอยู่กับสถานที่ที่ไม่มีเรื่องราว อะไรเหล่านี้ ... ไม่ใช่ว่ากลับมาแล้วก็ว่า ‘พักซักหน่อย สบาย ออกจากงานแล้ว’
ก็กลับมาอีร่องเดิมอีก คือหลง เพลินอีก คือจะพักจากงานภายนอก มันเหนื่อย จะพัก ...ก็เลยพักจิตพักใจ หายไปเลย ...หลับ
จิตหลับนะ ตาไม่หลับหรอก ฟังเพลงเพลินดี หรือไม่มันก็นั่งนอนยืนเดินชมนกชมไม้
ช็อปปิ้ง ไปนู่นไปนี่ สบายหูสบายตา
เพลิดเพลินเจริญใจไปในสถานที่ที่ไปแล้วมีความสุข ไปแล้วมีความสบาย ก็มีความสุขดี
มันแก้ไม่ได้ ...มันหมดเวลาไปกับความไร้สาระอีกแล้ว แม้มันจะไม่มีความทุกข์ก็ตาม เหมือนได้พักก็ตาม แต่ว่ามันแค่เป็นความสงบระงับชั่วคราวเท่านั้น
มันไม่มีปัญญาหรือญาณทัสสนะที่มันจะเป็นยาแก้ เป็นธรรมโอสถ ... ที่เข้าไปคุ้มกัน ป้องกันภัยในภายภาคหน้า
ปัญญานี่ มันสร้างภูมิคุ้มกัน แล้วมันก็จะไม่ให้โรคใหม่มาเกิด
แล้วก็ไม่ให้โรคเก่ากำเริบ และในขณะเดียวกันก็ถอดถอนโรคเก่าที่ฝังอยู่ภายใน ... นี่ ธรรมโอสถ หรือว่าปัญญาญาณที่เกิดจากศีล สมาธิ ปัญญา
ที่เป็นอธิศีล อธิสมาธิ
เพราะนั้นอย่าปล่อยให้หมดเวลาไปกับภายนอก
และก็ปล่อยเวลาให้หมดไปกับความเลื่อนลอย ...ให้มันหมดเวลาไปกับความรู้ตัว ...จะเหนื่อยหน่อยก็ต้องทน จะยากหน่อย ลำบากหน่อย ก็ต้องอดทน
เหมือนกับการรู้ตัวสำหรับผู้ที่ไม่ชำนาญการนี่ ...เหมือนเราถือแก้วที่มีน้ำเต็มๆ
แล้วเดินไปเดินมา มันกระเพื่อมแล้วก็กระฉอกออกไปตลอด จนมาดูอีกที ‘อ้าว น้ำหาย เหลือแต่แก้ว’
อะไรอย่างนี้ ...ใหม่ๆ มันจะเป็นอย่างนั้น
กว่าที่มันจะคล่องแคล่วว่องไว
หมายความว่าประเภทเล่นกายกรรมแล้วแก้วน้ำไม่หกน่ะ ประมาณนั้น เขาเรียกว่าแน่...นั่นน่ะพระอริยะ
ท่านฝึกถึงขั้นแบบกายกรรมล้ำเลิศพิสดาร คือหมายความว่าจะท่าไหน อิริยาบถไหน
อยู่ในสถานการณ์คับขันขนาดไหน แก้วน้ำนี่ไม่หกน่ะ ...คือความรู้ตัวเต็มเปี่ยมอยู่อย่างนั้น
นี่เขาเรียกว่าสู้ได้กับกิเลสทุกตัว
ไม่กลัวเลย กายใจก็คือกายใจเท่าเดิม
ปกติเหมือนเดิม ... แต่กิเลสมากน้อยใหญ่ก็มี
อยากแสดงก็มาแลบลิ้นปลิ้นตาเหมือนลิงหลอกเจ้าอยู่ข้างหน้า อู้ย
พระอริยะท่านเห็นกิเลสพวกนั้น เห็นกิเลสภายนอก หรือกิเลสความคิดของตัวเองก็ตาม
เหมือนกับลิงหลอกเจ้า ...ท่านไม่ได้ยี่หระเลย
ไม่ได้ให้ค่าให้ความสำคัญมันจนเป็นความเดือดเนื้อร้อนใจ
หรือว่าเป็นทุกข์เป็นร้อน หรือว่าเป็นสุขเลย ... เฉยๆ ...ก็รู้อยู่ว่าเป็นลิงหลอกเจ้า
เดี๋ยวมันก็ไป มันก็ว้อบๆ แว้บๆ ก็แค่นั้นน่ะ ทำไมจะต้องไปโกรธลิงที่มันมา แฮ่ๆ ฮื่อๆ
ใส่ ...ก็เหมือนหมาเห่าแต่ไม่ดุน่ะ
มันไม่กัดหรอก เลี้ยงหมามาทำไมจะไม่รู้ หมากระดาษ เสือกระดาษ ไม่ใช่เสือจริง ...มันรู้นี่
เรียกว่าสติความรู้ตัวทั่วพร้อมนี่เต็มเปี่ยม
ก็จะเห็นทุกอย่างเหมือนของหลอกหมด จิตมันจะเพียรสร้าง ขยันสร้างขนาดไหน
ที่จะให้เป็นเสมือนจริง ดูเหมือนจริง แล้วก็จะให้มี “เรา” เข้าไปอยู่กับมันจริงๆ
นี่ ไม่ได้แอ้มหรอก ... ปัญญานี่มันทัน
มันชัดเจนมาก...ว่าความจริงมีอยู่แค่นี้สองอย่าง กาย...ที่เป็นกายศีล
กับรู้...ที่เป็นใจรู้เห็นเท่านั้นเอง ถ้านอกจากสองสิ่งนี้ ท่านมีความ
ซ.ต.พ. สรุปได้ในระดับภูมิปัญญานั้นๆ ว่าไม่จริง ...ก็ทิ้งได้โดยไม่อาวรณ์ ไม่อาลัยเลย
โดยไม่ลังเลสงสัยเลยว่าจะเป็นอะไรต่อหรือไม่เป็นอะไรต่อ
แต่พวกเราบางทีทิ้งอดีตทิ้งอนาคตในความคิดไม่ได้
เพราะเรากลัวที่เราจะไม่เป็น หรือเรากลัวที่จะเป็น ในอนาคตนั้นๆ
เราเลยไม่กล้าทิ้งความคิดนี้
แต่พระอริยะนี่เขาเรียกว่าไม่หวั่นไหว
ไม่กลัวเลย ไม่กลัวความที่จะเป็น “เรา” ในอดีตอนาคต หรือไม่เป็น “เรา”
อย่างที่คิดในอดีตและอนาคตเลย เพราะอะไร ...เพราะท่านเข้าใจว่าจริงๆ มันไม่มีตัว“เรา”
เนี่ย คือพื้นฐาน นี่คือหลักแรก
หลักเริ่มต้นของการที่จะต้องกลับมารู้กาย ...เพื่ออะไร เพื่อให้เห็นกายที่แท้จริง ล้วนๆ ว่ามันเป็นแค่อะไร มันเป็น “เรา” ตรงไหน ...หรือมันไม่ได้เป็น “เรา”
ตรงไหนเลย นี่ แล้วมันจะมี “เรา” ในอดีตอนาคตได้อย่างไร
ถ้ามันไม่เห็น “เรา” ตรงนี้
หมดไปสิ้นไปในปัจจุบันกายนี่ มันก็สร้าง “เรา” ในอดีตอนาคตมาเป็นผู้รองรับแต่สุข-ทุกข์อยู่ตลอดเวลา
แล้วก็เป็น “เรา” ในปัจจุบันที่ไม่กล้าออกจากความคิด อดไม่ได้ที่จะต้องคิด...แล้วมันอุ่นใจ
มันเกิดความอุ่นใจนะ
เหมือนกับมีความอุ่นใจว่า ถ้าได้คิดไว้ล่วงหน้า โปรเจ็คไว้ว่าการเจอ การทำตรงนั้น
จุดนี้ แล้วการพูดการคุยกับคนนี้แล้วจะทำยังไงดี จะต้องเตรียมยังไงดี ...มันมีความอุ่นใจที่
“ตัวเรา” จะมีความสุขในข้างหน้า
สุดท้ายมันก็เหมือนเดิมน่ะ
คิดไปก็เพื่อสนองความที่ “ตัวเรา” ในปัจจุบันที่จะเจอในข้างหน้าต่อไป
ให้มันได้ความสุข ... “เรา” ก็ยังมีสมบูรณ์ ครบถ้วน ทั้งอดีตและอนาคตก็ช่วยกัน
สนับสนุนกัน เพื่อให้ “เรา” นี่แข็งแกร่ง “เรา” ในปัจจุบันที่มันจะยั่งยืน
หรือว่าเป็นนิรันดร์กาลในการเกิดการตายซะยังงั้น
แต่เมื่อใดที่มันมาทำความแจ้งชัดในกาย
ในศีล ในปัจจุบันกายปัจจุบันศีล แล้วมันจะเห็นแค่ว่ากายนี่เป็นแค่ก้อนธาตุ
เป็นซากที่ไร้ชีวิต ...คำว่าไร้ชีวิตคือไร้ความเป็นบุคคล ตัวตนมี...แต่ตัวตนเป็นบุคคลไม่มี
การเป็นตัวตนคือการก่อรวมตัวกันขึ้นเป็นลักษณะอาการน่ะ...มี
เช่น แข็ง ไหว นี่ลมพัดรู้สึกมั้ย รู้สึกวูบๆ คือการก่อรวมตัวกันขึ้นเป็นปฏิกิริยาอาการ
เรียกว่าเป็นธาตุกระทบธาตุ มันมีผัสสะกระทบกัน มันก็มีรู้สึกเป็นธาตุเป็นเวทนา
เป็นระยะๆ ตามการกระทบนั้นๆ ในการปรากฏขึ้นของการกระทบของภายนอกกับภายใน
คือกายกับอายตนะ
แล้วมันมีตรงไหน เวลาไหน ส่วนไหน
ลักษณะไหนที่ว่าเป็นเพศชายเพศหญิงบ่งบอก
มีลักษณะไหนอาการไหนที่มันแสดงถึงความมีชีวิตเป็นบุคคลเราเขา
อย่างนี้ถ้ามันหมดเวลาไปกับการที่คอยสังเกต
ระวังอาการทางกาย ด้วยความสม่ำเสมอต่อเนื่อง ...มันจะยังเชื่ออยู่มั้ยว่ากายนี้เป็นเรา
อันนี้คิดเอาเองแล้วกัน
นี่เรียกว่าจินตามยปัญญา ให้ใคร่ครวญอย่างนี้ ...มันไม่ต้องไปเอา หรือไปบังคับ ไปยื้อ หรือว่าทำยังไงถึงจะไม่ให้มี ... เช่นอย่างบางทีโกรธนะ ในความเป็นเราในเรื่องราวต่างๆ แล้วมันไม่ยอมหายน่ะ แล้วจะพยายามดับ ละมันให้ได้
อู้ย แต่ก่อนเราก็เคยโง่...แบบ “เรา”
เกิดตรงไหน หูย ไปไล่ดับแบบไม่ให้มันผุดมันเกิดมาเลยน่ะ ... เดี๋ยวจะตายน่ะ กายภายนอกนี่จะตายเอาเลย ...หมายความว่ามันมีเหตุทำให้กายนี่เกิดอาการวิปริต เป็นธาตุวิปริตขึ้นมาได้...เลย พอดีตายกัน
เหมือนกับเราเข้าไปบังคับให้มันตาย
เหมือนเอา “เรา” ให้มันตายแบบไม่ให้ผุดไม่ให้เกิดนี่ มันกระเทือนไปถึงขันธ์เลย เพราะว่า “ตัวเรา” กับตัวขันธ์นี่มันยังเชื่อมกันอยู่
มันยังกลืนกันเป็นเนื้อเดียวกันอยู่ แล้วไปทำอย่างนั้น เพราะไม่เข้าใจ คือยังทำแบบโง่ๆ อยู่ แล้วก็คิดว่ามีปัญญาด้วย พอไม่ให้ “เรา”
เกิดขึ้นเลย มันก็ดีน่ะ ...ดีจนกายมันจะตาย
เนี่ย กว่าจะเล่นกับขันธ์
กว่าจะเล่นกับกิเลส กว่าจะเล่นกับกายใจ กว่าจะเล่นกับวิถีแห่งมรรคนี่
ไม่ใช่ของง่ายหรอก กว่าที่จะมาพูดมาคุยสนุก เล่นๆ เพลินๆ นี่
ไม่ง่ายปานนั้นหรอกนะ มันผ่าน... มันผ่านหลายอย่าง มันลองหลายวิธี มันทำมาหลายแบบ
ทั้งๆ
ที่ว่าพยายามไม่ผิดจากศีลสมาธิปัญญาแล้วนี่แหละ
ไม่ได้หลุดออกไปถึงข้ามจักรวาลอื่นนะเนี่ย ก็มาห้ำหั่นทำลายกายใจอยู่ภายในนี้
กายเราใจเราของเราอยู่ข้างใน ...มันก็ยังมีผลข้างเคียง
แต่ทุกอย่างเมื่อมันผ่านพ้นแล้วนี่
ชัดเจนหมดเลยในวิถี ทุกอย่างมันมาสงเคราะห์ให้เกิดความแยกถูก แยกวิถีจิต วิถีคิด ... ออกจากวิถีจิตวิถีคิด ให้เข้าสู่วิถีรู้เฉยๆ เข้าสู่วิถีกายกับวิถีรู้เฉยๆ นอกนั้นละ นอกนั้นวาง
ไม่เอาอะไรมาเป็นตัวกำหนดวิถี เพราะมันจะเกิดความคลาดเคลื่อนแบบบางทีมันก็ไม่สามารถเอาคืนได้เลย
เมื่อรู้ตัวใหม่ก็รู้ใหม่ไป
พร้อมกับทำความเข้าใจกับทุกสิ่งที่ผ่านมาและกำลังดำรงอยู่เท่านั้นเอง ...มันเป็นการเรียนรู้เรื่องของตัวเองทั้งสิ้นเลย แล้วก็ปฏิกิริยาอาการของขันธ์เป็นอย่างไรก็รู้ไปเท่าที่ขันธ์มันจะแสดงอาการ
ด้วยความไม่หวั่นไหว ด้วยการไม่เข้าไปวิพากษ์วิจารณ์ในขันธ์นั้น แค่นั้นเอง
แค่นั้นจริงๆ
กว่าที่เราจะออกจากจิตที่ช่างคิด ช่างค้น ช่างวิเคราะห์
ช่างหา ช่างสร้าง ช่างให้ความเห็นนี่ มันต้องขัดเกลามาทั้งอย่างหยาบ
กลาง อุกฤษฎ์ ละเอียด และประณีต ...มันมีหลายขั้นตอนเลยทีเดียว
เพราะนั้นในการฝึกการปฏิบัติของพวกเรานี่
สิ่งที่จะต้องสำเหนียก ระวัง แล้วก็ให้เข้าใจว่า...ต้องเป็นการละพยศของจิต
หรือเป็นการกำราบจิต ที่ไม่ให้มันมีอำนาจเหนือศีลสมาธิปัญญา ไม่ให้มันมี “เรา”
ที่มีอำนาจเหนือเกินกว่าปัจจุบัน จนมันลากมันดึงออกนอกศีลสมาธิปัญญาซึ่งเป็นสัญลักษณ์หรือเครื่องหมายของความเป็นปัจจุบัน
มันจะดำรงความเป็นปัจจุบันไม่ได้เลย
หรือมันจะดำรงความรู้ตัวไม่ได้เลย ถ้าไม่มีศีลสมาธิปัญญา ...เพราะนั้นทุกครั้งทุกขณะที่มีความรู้ตัวอยู่ ขณะนั้นหมายความว่าศีลสมาธิปัญญาบังเกิดอยู่
แต่มันยังมีจิตผู้ไม่รู้นี่ หรือ “เรา”
ที่มันจะสร้าง “เรา” มาจากจิตผู้ไม่รู้นี่ ที่มันจะออกนอกความรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา
เราจะต้องมาคอยกำราบ “เรา”
ความคิดของเรา ความเห็นของเรา ตัวตนของเราในอดีต ตัวตนของเราในอนาคต
ตัวตนที่จะสุขในอดีต ตัวตนที่จะทุกข์ในอนาคต ตัวตนที่จะสบายกว่านี้ในอนาคตนี่ ... เราจะต้องกำราบพวกนี้
จนมันอยู่ในกรอบปัจจุบันกาย ...ตะจะ ปริยันโต ไม่ออกนอกกรอบเนื้อกรอบหนังนี้ ...กรอบความรู้สึกของกายปัจจุบันนี้
จึงเรียกว่า จิตนี้สมควรแก่งาน
จึงเป็นจิตที่สมควรแก่งานในมรรคคือปัญญา จึงเป็นจิตที่เรียกว่าเป็นสัมมาสมาธิ ...เริ่มเป็นสัมมาสมาธิที่มากขึ้น สมควรแก่ปัญญาญาณ
แต่ถ้าจิตไม่อยู่ในกรอบ จิตไม่อยู่ในที่
จิตไม่ได้รับการอบรม จิตไม่ได้ละพยศ
จิตมันยังกระเสือกกระสนดิ้นรนโดยไร้ขอบเขตตลอดเวลา จิตเหล่านี้เรียกว่าจิตที่ไม่มีคุณค่า จิตหยาบ จิตต่ำ จิตที่ไม่มีสาระ
แล้วกระทำเรื่องไร้สาระ ...นี่ไม่ควรแก่งาน
เราจะต้องมาอบรมจิตนี้จนเป็นจิตที่สมควรแก่งาน ... เพราะนั้นจิตที่สมควรแก่งานก็คือดวงจิตผู้รู้อยู่ในปัจจุบันนั่นเอง เพราะนั้นดวงจิตผู้รู้อยู่มันจะเกิดได้...ต้องอบรมด้วยสติ ศีล สมาธิ
แล้วมันจะอยู่ได้เพราะปัญญา ... ถ้าไม่มีปัญญา
ความเป็นดวงจิตผู้รู้ผู้เห็นอยู่ จะอยู่ได้ไม่นาน
ทุกอย่างลงอยู่แค่นี้ รวมอยู่แค่นี้ วิถีทั้งหมด ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์...ก็อยู่ในที่นี้ทั้งหมดนี่
ที่พระพุทธเจ้าท่านจำแนกแยกธรรมมากมายก่ายกอง
เพราะเหล่าสัตว์นี่สงสัยมาก ท่านเลยต้องพูดมาก ... ถ้าไม่มีเหตุ พระพุทธเจ้าจะไม่พูด ถ้าไม่มีปัญหา พระพุทธเจ้าท่านจะไม่พูด ท่านจะไม่ตัดสิน ซึ่งก็เพราะพระในสมัยนั้นน่ะ
ทำให้พระทุกวันนี้ มี ๒๒๗ ข้อ
เพราะศีลที่เป็นวินัยนี่ ไม่ใช่อยู่ดีๆ พระพุทธเจ้าก็บอกเลยว่า
มี ๒๒๗ นะ ไปรักษากันนะ ... คือสมัยนั้นมันจะมีกลุ่มพระขี้ฟ้อง เขาเรียกฉัพพัคคีย์ เขาจัดเป็นก๊กเลยนะ
๖ องค์เขา ฉัพพัคคีย์ นี่ก็คอยนั่ง...ไม่ได้ภาวนาหรอก...คอยจับผิดพระ
เดี๋ยวพระองค์นั้นก็ไปเดินเล่น
สะบัดจีวรเล่นอยู่ในบ้าน พวกนี้ก็วิ่งแร่ไปหาพระพุทธเจ้า กล่าวว่า 'ข้าพเจ้าอาวุโส
เห็นพระไปทำอย่างนั้นน่ะ ดูน่าเกลียดนะ' ... พระพุทธเจ้าก็เรียกพระองค์นั้นมาถาม 'ทำอย่างนั้นจริงหรือ' ... 'จริง' ... เอ้า ปรับอาบัติ อย่าทำ เป็นถุลลัจจัย ก็ว่าไป ...มันก็ขยันฟ้องกันเข้าไป
เดือดร้อนเราอีก ๒๒๗ ข้อต้องมารักษา
แต่ถ้าไม่มีคนฟ้องก็ไม่มีศีล ...พระพุทธเจ้าจะไม่พูดเลยนะ อยู่ดีๆ ไม่ใช่พูดมาเลื่อนลอยๆ นะ...เพราะนั้นการกล่าวอ้าง
การกล่าวธรรม เนื่องด้วยคนฟังทั้งหมด มันมีเหตุปัจจัยภายนอกมากระทบ
ธรรมท่านก็จะว่าไปตามเหตุปัจจัยที่มากระทบนั้นๆ
เหมือนกับอภิธรรม ทำไมท่านพูดแต่เรื่อง
จิ-เจ-รู-นิ ...จิต เจตสิก รูป นิพพาน เห็นมั้ย หัวข้อใหญ่ของอภิธรรมนี่ จิ-คือจิต เจ-เจตสิก รู-รูป นิ-นิพพาน
ท่านพูดแค่สี่ตัว
เพราะท่านไปเทศน์อยู่ดาวดึงส์
ท่านเทศน์ให้เทวดาฟัง จิ-เจ-รู-นิ...จิต เจตสิก รูป นิพพาน ... ท่านพูดถึงรูปนะ
ท่านไม่ได้พูดเรื่องกายเลยนะ เพราะว่าไม่ได้สอนคน ท่านสอนเทวดา ซึ่งมีแต่รูป...รูปนิมิต หรือรูปสัญญา
คือรูปหรือรัศมี เป็นรูป ไม่มีกาย ไม่มีมหาภูตรูป
24.00
คนที่ไม่เข้าใจ ก็ไปเอามาแล้วก็มาจดมาจำ
มาไล่ชวนะจิตกัน ขณะจิตกัน ๑๖ ชวนะจิตในการเห็น ในการได้ยิน
ถ้าโดยรายละเอียดแล้วต้องกี่ร้อยชวนะจิต ... มันก็เลยเกิดความคลาดเคลื่อนน่ะ ว่าธรรมไม่สมควรแก่ธรรม
ประพฤติธรรมไม่สมควรแก่ธรรม ปฏิบัติธรรมไม่สมควรแก่ธรรม มันเกินธรรม
ธรรมขั้นมนุษย์คืออะไร ...ศีลนี่เป็นเครื่องยืนยัน ความรู้สึกในกายก็คือศีลนั่นเองที่เป็นเครื่องบ่งบอกว่า เนี้ย อันตัวข้าพเจ้าปัจจุบัน ที่ว่าเป็นตัวเรา เล่าอ้างกันว่าตัวเรานี่ คือคน เพราะมันมีความรู้สึกเย็นร้อนอ่อนแข็งแบบคน มีทรวดทรงสองแขนสองขา แท่งๆ อย่างนี้...คือมนุษย์
ความเป็นกายนี่เป็นเครื่องบ่งบอกของภพชาติปัจจุบัน
ศีลจึงเป็นเครื่องบ่งบอกความเป็นคน ...เพราะนั้นตัวปกติกายคือคำว่าปกติศีล
จึงเป็นเครื่องหมายสัญลักษณ์แสดงความเป็นคน ไม่ใช่สัตว์ประเภทอื่น
ไม่ใช่สัตว์ประเภทเทวดา พรหม อรูปพรหม อสูรกาย เดรัจฉาน เปรต สัตว์นรก ...ไม่ใช่
เพราะนั้นผู้ใดที่ขาดศีล ผู้นั้นก็หมายความว่าออกจากความเป็นคนซะยังงั้นน่ะ
ผู้ใดที่ขาดความรู้ตัว
ไม่รู้ปฏิกิริยาอาการของกายที่กระทบกับสิ่งแวดล้อม ณ ปัจจุบัน ก็เรียกว่าขณะนั้น...ออกจากความเป็นคน
ออกจากภพชาติความเป็นคน หมายความว่าออกจากภพชาติตามความเป็นจริงในปัจจุบัน...ซึ่งเป็นคน
เห็นมั้ยว่า ถ้าขาดศีล
ไม่มีศีลตัวเดียวนี่ มันออกจากความเป็นคนเลย จะสูงกว่า-ต่ำกว่าคน ไม่รู้นะ แล้วแต่จิตจะพาไป
แล้วแต่จิตจะสร้าง ...สร้างอารมณ์ดีก็เป็นภูมิดี สร้างอารมณ์ชั่วร้ายก็เป็นภูมิต่ำ
ส่วนมากก็จะเป็นอสุรกาย สัมภเวสี คือลอยๆ คือกูยังไม่รู้จะเกิดเป็นอะไรดี
แต่เป็นได้ทั้งนั้น ที่ยังลอยอยู่
เคว้งคว้างอยู่ เลื่อนลอยน่ะนั่น มันไปได้หมด...แต่ไม่เป็นคน ทั้งๆ ที่ว่าเป็นคน …เออ เอาไงกับมันวะเนี่ย เขาให้เกิดมาเป็นคน
แต่ไม่ยอมเป็นคนน่ะ และไม่รู้จักความเป็นคนอีกต่างหาก
ไม่รู้สึกถึงความเป็นคนอีกต่างหาก
แล้วมันจะรู้จักภพชาติตามความเป็นจริงได้อย่างไร
แล้วมันจะแจ้งในความเป็นจริงปัจจุบันได้อย่างไร แล้วมันจะออกจากภพชาติได้อย่างไร
แล้วมันจะไม่เกิดภพชาติใหม่ได้อย่างไร...ขนาดภพปัจจุบันมันยังไม่รู้จักเลย
มันยังไม่เห็นภพปัจจุบันตามความเป็นจริงเลย
มันยังอยู่ในภาวะที่เรียกว่าสิงสาราสัตว์น้อยใหญ่
ไม่รู้ว่าเป็นอะไรน่ะ ... ทั้งวันยังไม่รู้เลยว่าเป็นคน ...ได้ไงล่ะ แล้วมาเกิดเป็นคนทำไม ไปเกิดเป็นผีซะดีกว่ามั้ย ใช่มั้ย ...เป็นคนแท้ๆ
แต่ไม่รู้จักว่าขณะนี้กำลังเป็นคน
เนี่ย ศีล …เพราะไม่มีศีลตัวเดียว ขาด ออก หลุดทะลุ บกพร่อง
จากความเป็นคนโดยปริยาย ...จะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจไม่รู้ล่ะ มันออกไป ไม่เป็นคนแล้ว ...เพราะนั้นภพภูมิที่จะไปจึงอเนกอนันต์
ไม่มีประมาณ ไม่มีขอบเขต ไม่มีเป้าหมาย ไม่มีที่หมาย
เพราะนั้นเวลาตายก็เหมือนกับเสี่ยงทายน่ะ
มันจะ ปึ่บ ออกหัวหรือก้อยไม่รู้ ...ถามตัวเองสิ รู้มั้ย ไม่มีใครรู้หรอกว่าตายแล้วจะมาเกิดเป็นอะไร
ไม่มีใครรู้และกล้าตอบได้ด้วย
เพราะนั้น...ก็ให้รู้ว่าเป็นคนแน่ๆ ณ ที่นี้
แล้วจะแจ้งในความเป็นคน ในทุกกระบวนการของความเป็นคนที่ปรากฏ...
ว่ามันคืออะไร
ความเป็นคนนี้เป็นใคร
ความแสดงอาการของคนนี้ เป็นของใคร
ใครนั่ง
หรือไม่มีใครนั่ง มีแต่อาการนั่ง
ในการนั่ง...ไม่มีหญิงนั่ง ไม่มีชายนั่ง ไม่มี
“เรา” นั่ง
ไม่มีชื่อนางสาวกอขอ นายกอนายขอนั่ง มีแต่อะไรก็ไม่รู้มันกองอยู่
เนี่ย
เรียกว่าเข้ามาแจ้งในภพปัจจุบันชาติปัจจุบัน ที่ปรากฏเป็นก้อนศีลกองศีล
เป็นปกติกาย ปัจจุบันกายอยู่ตลอดเวลา ...มันจึงจะหลุด จะพ้น จากความเป็นคนได้ แม้ในขณะที่มันยังไม่ตายจากความเป็นคน
เพราะมันเข้าใจแล้วว่าไอ้ความเป็นคนนี่เป็นยังไง ที่แท้จริงของมัน ...ไม่ใช่อย่างที่จิต หรือเรา หรืออวิชชา...ที่เข้าใจว่าคนนี้คือตัวของเรา ...มันก็จะแจ้งในภพชาติปัจจุบันนี้ก่อน
เมื่อมันแจ้งในภพชาติปัจจุบันของความเป็นคนแล้ว หมายความว่า
มันจะไม่กลับมาเป็นคนอีกต่อไปแล้ว เพราะไม่ใช่เรื่องของใคร
เพราะความเป็นคนนี้ไม่ใช่ของใคร ไม่ใช่สมบัติของใคร ไม่ใช่ธุระของใคร ...แล้วไม่มีที่หน้า
ที่หมาย ที่ควรแก่การที่จะมาครอบครองอีกต่อไป
ก็สิ้นสุดความเป็นคน ณ
ปัจจุบันนั้นนั่นเอง ...ความสิ้นสุดในภพปัจจุบัน ชาติปัจจุบัน
ออกจากความเป็นคนโดยสำเร็จโดยสิ้นเชิง ... จึงเรียกว่า ความเกิดเป็นคน มนุษย์นี่
ถือเป็นชาติสุดท้าย ครั้งสุดท้ายแล้ว
...............................