วันพุธที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2559

แทร็ก 11/24 (2)


พระอาจารย์
11/24 (560722E)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
22 กรกฎาคม 2556
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 11/24  ช่วง 1

พระอาจารย์ –  กลับมายืนสองขา เดินสองขาตามปกติเหมือนคน ไม่ใช่เหมือนผี ไม่ใช่กึ่งผีกึ่งคน ใช่มั้ย มันกลายเป็นภาวะกึ่งผีกึ่งคนน่ะ มันใช่รึเปล่า ตอนนี้เราเป็นคนรึเปล่า เป็นไหม

โยม –  เป็นค่ะ


พระอาจารย์ – เออ ไม่ใช่ผี ใช่มั้ย แล้วทำไมไปรู้สึกกึ่งผีกึ่งคนล่ะ มันจริงหรือไม่จริง ใช่มั้ย ...เราต้องกลับมายืนยันในภพชาติปัจจุบันที่แท้จริง คือความเป็นคนโดยสมบูรณ์

ถ้าเป็นคนโดยสมบูรณ์ต้องมีความรู้สึกเย็นร้อนอ่อนแข็งชัดเจนอยู่ตลอดเวลา ...ไม่ใช่เป็นผี...ที่หาย กายหาย หายทั้งโมหะ หายทั้งจิตรวมเป็นสมถะบ้าง เนี่ย มันไปอยู่เป็นพวกครึ่งผีครึ่งคน

มันไม่ตรงต่อสภาพภพชาติปัจจุบัน แล้วมันจะเข้าใจภพชาติตามความเป็นจริงอย่างไร แล้วมันจะออกจากภพชาติตามความเป็นจริงในปัจจุบันได้อย่างไร แล้วมันจะไม่กลับมาเกิดเป็นคนอีกได้อย่างไร

ก็มันยังเป็นคนไม่เต็มคนเลย แล้วมันจะออกจากความเป็นคน แล้วไม่กลับมาเกิดเป็นคนได้ยังไง ใช่มั้ย ...นี่คือศีลต้องบริบูรณ์

ศีลต้องบริบูรณ์นะ ไม่ด่างพร้อย ไม่ขาด ไม่เป็นมลทิน ไม่ชำรุด ไม่เสื่อมไม่ทราม ไม่แหว่งไม่เว้า ไม่เศร้าหมอง ...นี่พูดถึงกาย พูดถึงศีลล้วนๆ เลยนะ

เพราะนั้น ถ้าเมื่อใดโยมนี่สามารถรำลึกรู้ความปกติของกายด้วยความตลอดต่อเนื่องใน ๒๔ ชั่วโมง โดยไม่ลืม ไม่ขาด ไม่หาย เป็นเส้นตรงพั้บ ท่านเรียกว่ามหาสติ

แล้วจิตที่มันเห็นกายด้วยความต่อเนื่องเป็นมหาสติ นั่นท่านเรียกว่ามหาสมาธิ แล้วผลจากการที่จิตในระดับมหาสมาธินี่เห็นกายด้วยมหาสติต่อเนื่องไม่ขาดสาย นั่นเขาเรียกว่ามหาปัญญา

พอถึงตรงนี้นี่ กิเลสนี่กลัวหงอเลย กิเลสที่มันอยู่หน้าใจหรือคลุมใจไว้อยู่นี่

เพราะอะไร ทำไมถึงกลัว ...เพราะพอมันออกมาปึ้บ...ตาย  ออกมาปุ๊บถูกกุดหัว...ตาย ...ตายแบบไม่ฟื้นเลยนะ ตายดับ ตายลับ ตายสูญ ตายจาก ตายแบบไม่กลับมาเกิดเป็นกิเลสของเราอีกน่ะ

เพราะนั้นอย่าไปพูดว่ากลับมาเกิดเป็นคนเลย  ถ้าถึงตรงนี้ต้องพูดว่า...ไม่เกิดดีกว่ามั้ย มันสมควรกับไม่เกิดดีกว่ามั้ง ไม่ใช่ว่าไม่เกิดมาเป็นคนเท่านั้นนะ ...นี่คือเป้าหมายของการภาวนาในองค์มรรคเลย

ถ้ามันไม่รู้โดยตลอดของกาย ถ้ามันไม่รู้โดยตลอดของศีล ถ้ามันไม่บริบูรณ์ในองค์ศีลเนี่ย ...ไม่ต้องพูดถึงการไม่กลับมาเกิดอีก

เพราะมันจะไม่ทำให้เกิดมหาสมาธิ มหาปัญญา ที่จะเข้าไปชกกันตรงตัว ตัวต่อตัวกับอวิชชาเลย ...คนละรุ่นเลย

อวิชชาที่มันกลืนกินกายใจอยู่นี่ มันฟูมฟัก มันมีเราเข้าไปฟูมฟัก มันสร้างเราขึ้นมาฟูมฟักรักษา ...ไม่ใช่แค่ชาตินี้ มันเป็นอเนกชาติที่ผ่านมา

แน่นหรือไม่แน่น หนาหรือไม่หนา เหนียวหรือไม่เหนียวล่ะ ยิ่งกว่าอีแก่หนังเหนียวอีก ...มันปิด มันบัง มันมืด มันคลุม แบบไม่มีช่องว่างเล็ดลอดออกมาเลย...โยงใยของมันนี่

เพราะเรานี่สะสม เพราะมันสร้าง “เรา” แล้วเราก็ไปทำตามอำนาจความอยาก-ความไม่อยาก สะสมความไม่รู้มากด ทับ บัง พอก พูน เพิ่ม ...จนโงหัวไม่ขึ้นน่ะ

อะไรมันโงหัวไม่ขึ้น ...ใจ สภาพรู้สภาพเห็น นั่นน่ะท่านเรียกว่าใจ ภาษาหลวงปู่ท่านเรียกว่า ดวงจิตผู้รู้ ...จนสภาพดวงจิตผู้รู้หรือใจนี่มันโงไม่ขึ้น...มืดมิดเลย

แล้วก็เกิดตายมากับความมืดมิดนั่นทุกภพทุกชาติมาปฏิบัติก็ปฏิบัติแบบลุ่มๆ ดอนๆ อะไรก็ไม่รู้ ไม่ได้เป็นไปด้วยการชำระขัดเกลาออก เปิดขันธ์ เปิดโลกธาตุ เปิดกาย เปิดใจออกเลย

แต่เมื่อมันมาปฏิบัติตรงต่อศีลสมาธิปัญญา มันจะเป็นไปเพื่อการเปิดออก ...พอเปิดออกปุ๊บนี่ พอเอาไอ้สิ่งที่มันห่อหุ้มใจนี่ออก เปิดปุ๊บนี่ สว่างโร่เลย

เพราะธาตุใจธาตุรู้นี่...เป็นธาตุที่มันมีความสว่าง ไม่มืด ไม่มีความมืด  ใจคือความสว่างสะอาดบริสุทธิ์ ...นี่โดยลักษณะโดยรวมที่พูดโดยสมมุตินะ

แล้วพอมันเปิดออกสว่างปุ๊บ ความสว่างของใจนี่ อย่าให้มันสาดส่องไปตรงไหนนะ ไอ้ที่คลุมๆ เครือๆ ไอ้ที่ว่าเป็นหญิงเป็นชายอย่างนี้...อย่ามาพูด

มันเปิด มันเผยความเป็นจริง มันไล่ความมืดบอด ครอบคลุม ปิดบัง ซ่อนเร้น ให้กระจัดกระจายสลายออกหมด ...จึงเกิดความชัดเจนตามสภาพนั้นๆ

นัตถิ ปัญญา สมาอาภา...ความสว่างใดเสมอเท่าปัญญาไม่มี ...เพราะนั้นความสว่างมันจะมาจากไหน ถ้าไม่มาจากใจ ...มันมาจากใจ

แล้วใจมันจะขึ้นโผล่โงหัวขึ้นมา ก็มาจากการปฏิบัติในองค์ศีลสมาธิปัญญา  มันเป็นเหตุ มันเป็นปัจจัยเกื้อหนุนกัน สงเคราะห์ซึ่งกันและกันในองค์ศีลสมาธิปัญญา

แล้วก็ปัญญาก็กลับมาสงเคราะห์ศีลสมาธิปัญญา...วนเวียนอยู่ในเส้นทางของมรรคนี่แหละ ...เอามันจนสว่าง จนไม่มีอะไรจะมาครอบงำครอบคลุมใจนี้ได้อีก

ก็เข้าสู่ความเป็นธรรมชาติของใจที่แท้จริง ก็เข้าไปสู่ธรรมชาติที่แท้จริงของขันธ์ ...ไม่ใช่ธรรมชาติของ “เรา” ไม่ใช่ธรรมชาติของกิเลส

แต่มันเป็นธรรมชาติของขันธ์ กับธรรมชาติของใจ แล้วก็อยู่กับธรรมชาติของโลก...เท่าที่เขาปรากฏจริงๆ ...ไม่ใช่เราเข้าไปว่า ตามความว่าความเห็นของเรา

ถ้าอยู่ตรงนี้ สภาพนี้ ทั้งหมดเป็นธรรมชาติที่แท้จริง คืนสู่ธรรมชาติที่แท้จริงของทุกสิ่งแล้ว ...ไม่มีใครเป็นทุกข์อีกต่อไปในสามโลกธาตุ

ไม่ต้องถามว่าเกิดหรือไม่เกิด ให้ไปถึงตรงนั้นก่อน รู้เองน่ะ..กูคงไม่เกิดแล้วล่ะ ...มันจะตอบอย่างนั้น ไม่ต้องถามหรอก กูคงไม่เกิดแล้วแหละ

เพราะไม่รู้จะเกิดมาหาพระแสงด้ามสั้นหรือด้ามยาวอะไร จะมาหาอะไรมาเป็นที่อยู่ที่เกาะดีล่ะ กูคงไม่เกิดแล้วล่ะ ...แต่ตอนนี้ถามว่าจะเอากี่ชาติดีล่ะ ต้องถามอย่างนี้นะ เออ

แต่ถ้าปฏิบัติตรงต่อศีลสมาธิปัญญาแล้วนี่ เอาหัวเป็นประกัน ยืนยันมาตั้งแต่พระพุทธเจ้ายันพระอรหันต์ถึงยุคปัจจุบันนี้ ...ท่านก็อยู่ในเส้นทางนี้แหละ

ไม่ใช่เส้นทางของอุบายธรรม ไม่ใช่เส้นทางของสำนักการปฏิบัตินั้นนี้ ...แต่อยู่ในเส้นทางของศีลสมาธิปัญญา เอาตัวศีลสมาธิปัญญานี่เป็นกรอบ

อย่าให้มันออกนอกกรอบศีลสมาธิปัญญา อย่างที่เราอธิบายขยายความ ...ช้าหรือเร็วอยู่ที่นี่ ถูกหรือผิดก็อยู่ตรงนี้ ไปหาคำตอบเอาเอง...ด้วยการปฏิบัติ

ไม่ใช่มานั่งคิด “อาจารย์ว่าอย่างนี้ แล้วกูจะทำยังไง” มันยังคิดต่ออีกนะ ...เออ นี่สอนมาตั้งนาน บอกให้เลยนะ ไม่ได้สอนให้ไปคิดเลยนะนี่ ...คือมันต้องเริ่มตั้งแต่นั่งแล้วก็รู้ว่านั่งตรงนี้แล้ว เข้าใจมั้ย

โยม –  เข้าใจค่ะ


พระอาจารย์ –  เออ ก็แค่เนี้ย เห็นมั้ย การปฏิบัติมันไม่ได้แค่ไหน มันก็แค่นี้ ...ก็อยู่ตรงนี้ ก็แค่เนี้ย  ก็รู้อยู่ตรงนี้...ก็แค่นี้  สิ่งที่ถูกรู้ก็อยู่ตรงนี้...ก็แค่นี้  ...มันจะเอาแค่ไหนเล่า

ไอ้แค่ไหน แค่นั้น แค่นู้น แค่โน้นน่ะ มันเป็นเรื่องของความอยาก ทะยาน ของความอยากของเรา บอกแล้ว ...ถามว่ากิเลสมันหน้าเหมือนใคร...ก็ “เรา” นั่นแหละ หน้าเหมือนเราเด๊ะเลย

เมื่อใดที่ไม่มีหน้าของเราอยู่ในขันธ์นั่นล่ะใช่เลย ไม่ต้องมาเกิดแล้ว ...แล้วทำยังไงถึงจะทำให้หน้าของเรา หน้าตาของเราในขันธ์มันหาย ...ก็ดูกายเยอะๆ

ดูแข็ง ดูอ่อน ดูนิ่ง ดูไหว ดูขยับ ดูอุ่น ดูปวด ดูเมื่อยไปเหอะ โง่ๆ ...เดี๋ยว “เรา” มันก็หลบหลี้หนีหน้าไป หน้าตาของเรา...เฮ้ย มันหายไปไหนวะเรา ...นี่ ให้มันได้อย่างงั้น

ทีนี้ไม่ต้องถามว่า “…’จารย์ ละกิเลสยังไง …’จารย์ เวลาปวดขึ้นทำไง ... จารย์ๆๆ...”  เนี่ย...กูจนจะเป็นชามอยู่แล้ว (หัวเราะกัน) เข้าใจมั้ย มันจะต้องตอบโจทย์แก้ปัญหาได้ด้วยตัวเอง

นั่นแหละถึงเรียกว่าปฏิบัติตามความเป็นจริง ก็จะเกิดผลด้วยตัวเอง แล้วเอาไปใช้ได้ ...ไม่ใช่มาใช้แต่ตอนที่อยู่ในวัด หรือใช้ต่อเมื่อต้องมาให้อาจารย์บอกก่อนว่าทำยังไง มันก็เป็นเด็กที่เลี้ยงไม่โตน่ะ

มันก็เติบใหญ่งอกงามขึ้นในศีลสมาธิปัญญา แล้วมันก็จะออกดอกออกผล ให้กินได้ใช้ ให้อิ่มให้อาบ ให้เกิดความบันเทิงเริงร่าในธรรม เผชิญหน้าต่อธรรมด้วยความอาจหาญ

ไม่หงอ ไม่กลัว ไม่หนี ไม่รังเกียจ ...นั่นแหละเขาเรียก..อาจหาญในธรรม แล้วมันก็อาจหาญในธรรมไปเรื่อยๆ แล้วมันก็จะเกิดความร่าเริงในธรรม

“เฮ้ย ยังมีอะไรที่ยังไม่รู้ไม่เห็นอีกตั้งเยอะเลย...ดีๆๆ ...เออ ด่าเลยๆ อยากฟัง ...ชมเลยๆ อยากรู้ว่าจิตเป็นยังไง  ยังมี “เรา” มากหรือน้อย  เปอร์เซ็นต์ของ “เรา” น้อยหรือมาก”

เออ ดี...ถ้าไม่ด่ากูไม่รู้นะนี่ ว่ามีเราโกรธ...มาก...เหมือนเดิม...หรือน้อยกว่าเดิม...หรือยิ่งกว่าเดิม อ้าว ...เนี่ย เขาเรียกว่ามันเกิดความอาจหาญต่อการเผชิญกับทุกสิ่ง

เพื่ออะไร ...เพื่อมาสงเคราะห์...ให้เกิด ให้เห็น ให้ละ ...จะได้ไม่ประมาทว่า เฮ้ย กิเลสกูยังมีอยู่โว้ย อย่างนี้ยังทิ้งศีลสมาธิสติปัญญาไม่ได้นี่หว่า …มันจะได้ไม่ตายใจ

พอมันกระทบแล้วกระทบอีกๆ ...ก็เหมือนกับก้อนดิน แผ่นดินอย่างนี้...ไม่รู้สึก 

เออ ก็กูคงไม่ต้องมีศีลสติสมาธิปัญญาแล้วล่ะ ไม่ต้องไปถามอาจารย์แล้วแหละ ใช่มั้ย มันด่าเล่นถึงโคตรพ่อโคตรแม่แล้วกูก็ยังเฉยนี่

โยม –  นั่งยิ้ม บ้าไปแล้ว


พระอาจารย์ –  เออ ขนาดมันว่าบ้าไปแล้ว ก็ยังยิ้มอีก เอ้า จิตมันก็ยิ้มของมัน ...ให้มันได้อย่างนั้น ให้มันเข้าใจสภาพธรรมอย่างนั้น แล้วก็ยอมรับกับสภาพธรรม

หรือแม้กระทั่งตัวมันกำลังชักกระแด่วๆ ตายแน่ๆๆ ยังเฉย ดูเฉยข้างใน ...ให้มันได้อย่างนั้น ...ลองนึกถึงภาพกำลังกระแด่วๆ ด้วยมะเร็งกระดูกซิ จิตมันจะนั่งยิ้มเฉย ดูเฉยได้ไหม

คงไม่ได้ ...ไม่ต้องส่องด้วยเจโตหรอก ไม่ได้แน่ๆ รับรองว่ามันจะ วิ่งงงง...หาที่สุขที่สบาย กูจะเอายังไงดี อยู่ตรงไหนแล้วมันจะไม่ทุกข์ มันจะไม่ปวด วิ่งเหมือนกับวนลนลานอยู่ในนั้น

จะมานั่งอมยิ้มแบบจิบน้ำชาดูเสือกัดกัน นั่งอยู่บนภูดูเสือกัดกัน เห่อ นี่ เขาเรียกว่าเล่าเซียน ไม่สน เรื่องทารกในยุทธภพ ฆ่ากันไป ทำลายล้างกันไปเอง ดูเฉยๆ

นี่ ไม่ใช่ว่าไปบังคับกดข่มอะไรนะ ...แต่มันเข้าใจโดยตลอดแล้วว่ามันต้องเป็นอย่างนี้ มันไม่เป็นอย่างอื่นแล้ว มันต้องอย่างงี้ ยังไงก็ต้องเป็นอย่างงี้

จะหนีทำไม จะร้องไห้ทำไม จะหัวเราะทำไม ...ทุกอย่างก็จะเป็นอย่างนี้ 

นั่นแหละ เอาไปทำ ...จบ พอ

โยม – (หัวเราะ) เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้ สาธุ


พระอาจารย์ –  กลับไปทำความรู้ตัวแค่นั้นแหละ ไม่ต้องถามอะไรแล้ว ไปทำเยอะๆ ยิ่งถามยิ่งสงสัย  ...รู้อย่างเดียว...จบ ต้องจบที่รู้ จบที่ปัจจุบัน


...............................




แทร็ก 11/24 (1)


พระอาจารย์
11/24 (560722E)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
22 กรกฎาคม 2556
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ  :  แทร็กนี้แบ่งโพสต์เป็น  2  ช่วงบทความ)

พระอาจารย์ –  รู้ตัวในปัจจุบัน เฉยๆ เงียบๆ โง่ๆ ไม่เอาอะไร ไม่หาเหตุหาผล 

รู้..เห็น.. ดู ...ไม่เลือก ดูไปเหอะ อะไรที่เป็นปัจจุบันกาย ดูไปเถอะ แม้แต่ลมพัดทีละวูบๆ ...ถูกแล้ว  ถ้าไม่ถูก..มันไม่ปรากฏ  ถ้าไม่จริง...มันไม่ปรากฏ

มันจะมีอะไรจริงยิ่งกว่าลมพัดที่วูบนี้ หือ ถามหน่อย  บ้านจริงมั้ย รถจริงมั้ย มาถ้ำจริงมั้ย ที่บ้านมีอยู่จริงมั้ย...ไม่รู้  ไม่จริงน่ะ ...แต่ลมพัดนี่จริงกว่านะ

แล้วจะอยู่บนพื้นฐานของความจริง...หรือจะอยู่บนพื้นฐานของความหลอกลวงของ “เรา” ล่ะ

ฝึกเอาเองแล้วกัน ช่วยไม่ได้ ได้แต่บอก  ใครจะเก็บเกี่ยว...เรื่องของมัน ไม่ใช่เรื่องของกู...เออ ไม่ใช่เรื่องของอาตมา นี่ ฟังเพราะหน่อย

เพราะนั้นไอ้เรื่องธรรม การปฏิบัติธรรม ...มันอยู่ที่ใครจะเก็บเกี่ยวเอาเอง ขยันหมั่นเพียรเอาเอง ใส่ใจ ตั้งใจ ทำความลึกซึ้งชัดเจนด้วยตัวของตัวเอง

ไอ้ที่เราพูดนี่ มันเป็นแค่พื้นฐานไกด์ไลน์เท่านั้น ...เพราะนั้นเวลาเอาไปทำนี่ เดี๋ยวมันจะมีข้อสงสัยขึ้นมาเป็นระลอกๆ เลย ...เชื่อหัวไอ้เรืองเถอะ จะต้องเจอแน่ๆ

แล้วพวกเราจะต้องฟันฝ่ากับมันอยู่ตลอด จำคำเราไว้ให้ดี เดี๋ยวคำของเรานี่จะเป็นผีมาหลอกมาหลอนอยู่ตลอด เถียงไม่ได้ มันเถียงกูไม่ได้ ...เดี๋ยวผีจะไปหลอก คำพูดของผีนี่จะไปหลอก

เพราะมันเป็นความจริง มันหนีไม่ได้หรอก ความเป็นสัจจะของกายคืออะไร ศีลคืออะไร ของการปฏิบัติที่แท้จริงคืออะไร ...สุดท้ายแล้วมันจะเหมือนกับถูกยัดเยียดความเป็นจริงโดยปริยาย ด้วยการฟัง

เหมือนเป็นเกราะ กันบ้า กันเพ้อเจ้อ กันหลง กันอวดดี กันอวดรู้ ...ซึ่งมันพร้อมที่จะอวดดีอวดรู้อยู่ตลอด ไอ้จิตเราเนี่ย ไอ้ตัวเรา ไอ้ความคิดของเรานี่

เก่งเหลือเกิน เก่งกว่าพระพุทธเจ้าอีก (โยมหัวเราะ) ใช่เลย ตลกดี ตลกนะ ถ้าดูแล้วตลกเลย เมื่อกลับมาเห็นนะตลก ...แต่เวลาเข้าไปอยู่ในสถานะกับมัน ไม่ตลกเลย

มันพาหัวฟัดหัวเหวี่ยงไปมา วิ่งชนจนแทบจะเอาหัวโขกพื้นกะโหลกแตกตาย กูก็ยังนั่งแล้วมัน “ทำไมไม่สงบวะ” บ้ารึเปล่า มันคิดว่าขันธ์เป็นของมันรึไง จะได้จัดการได้ดั่งใจเลย

ก็หัวฟัดหัวเหวี่ยงว่า “ทำไมมันไม่สงบๆๆ” แสดงอาการเหมือนกับคนบ้านะนั่น เหมือนกับว่าเด็กได้ของเล่นแล้วทำหล่นแล้วมันพัง ก็ร้องไห้ “ทำไมมันพังอ่ะๆ” จะเอาคืนอย่างนั้นให้ได้น่ะ

มันเหมือนกับมันเป็นเจ้าของขันธ์น่ะ ...กูจะซ้ายก็ต้องซ้าย กูจะขวามันก็ต้องขวา กูจะให้มันหยุดมันก็ต้องหยุด กูจะบอกให้มันสงบห้าชั่วโมงก็ต้องสงบห้าชั่วโมง

มันเป็นใครหือ มันเป็นพระเจ้าหรือยังไง ที่มันจะควบคุมกายควบคุมขันธ์ให้มันเป็นดั่งใจให้ได้  แล้วถ้าใครทำได้ สมมุติเขาคุยมาให้ฟังว่าฉันนั่งได้ ฉันสงบขนาดนั้น

ก็ยกย่องว่าเก่ง ก็ยกย่องว่าคนนั้นน่ะคนนี้น่ะภาวนาเก่ง ...เนี่ย มันเชื่อกันอย่างเนี้ย ก็เลยเกิดเป็นธรรมเนียมตามๆ กันมาว่า นั่งสมาธิต้องให้สงบ ถ้าไม่สงบเรียกว่าไม่เกิดผล

รู้จักคำว่าผิดตั้งแต่ออกสตาร์ทไหม เคยเห็นนักกรีฑามั้ย เขาวิ่งไปหาเส้นชัยใช่ไหม กูหันหลังกลับวิ่งเข้าไปหาคนดูอ่ะ อยากได้รับคำชมคำเชียร์น่ะ

ถามว่ามันจะถึงจุดเส้นชัยมั้ยเนี่ย มันออกสตาร์ทก็ผิดแล้ว เริ่มต้นปฏิบัติก็ผิดตั้งแต่ยังไม่ปฏิบัติแล้ว นี่ ไม่ได้ว่านะเนี่ย...ด่าเลยแหละ ...แล้วก็ยังงมโข่งกันอยู่เลย

“ทำยังไง อาจารย์ ถึงจะสงบมากกว่านี้” ...บ้ารึเปล่า มึงเป็นใคร ขันธ์มันของมึงรึไง  ก็พระพุทธเจ้าก็บอกว่าขันธ์ไม่ใช่ของเรา จิตไม่ใช่ของเรา ...พระพุทธเจ้าเคยบอกว่าจิตเที่ยงไหม

โยม –  ไม่เที่ยง


พระอาจารย์ –  เอ้า ไม่ใช่ไม่รู้กันนะเนี่ย ก็รู้ว่าจิตไม่เที่ยง แต่กูจะทำให้เที่ยงมีไรป่าว ...เห็นมั้ย เก่งกว่าพระพุทธเจ้ามั้ย เก่งกว่านะ

แล้วพยายามจะคัดง้างพระพุทธเจ้า โดยไม่รู้ตัวเลยนะว่า การปฏิบัตินี่เป็นการปฏิบัติที่คัดง้างกับสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านกล่าวหรือเปล่า

พระพุทธเจ้าบอกว่ากายไม่เที่ยง ขันธ์ไม่เที่ยง ขันธ์เป็นทุกข์ ขันธ์เป็นอนัตตา  จิตไม่เที่ยง จิตเป็นทุกข์ จิตเป็นอนัตตา ...ก็พยายามจะควบคุมให้มันอยู่ใต้อุ้งมือมาร

มารคือเราน่ะแหละ นั่นน่ะอุ้งมือมาร ...แต่เข้าใจว่ามารนี่สวยหรูเลยแหละ  ถ้ากำได้กอบได้ กำหนดได้ดั่งใจเมื่อไหร่ ใช่เลย...ผล เอาไว้อวดกัน

แต่ไม่ได้เอาผลนี่ไปละกิเลสเลย เพราะมันละไม่ได้เลย ...มันไม่ได้เรียกว่าสัมมาสมาธิ มันไม่ได้เรียกว่าญาณทัสสนะ มันไม่ได้เรียกว่าสัมมาสติ มันไม่ได้เรียกว่าสัมมาศีลเลย

เนี่ย เราก็เลยต้องมาเริ่มต้นตั้งแต่อนุบาล ก.ไก่ น่ะ ...เพื่อไปหักล้าง ลบล้างความเชื่อหรือการปฏิบัติที่เคยทำกัน แล้วหวังว่าจะทำกันต่อไปอีก

เรียกว่าโดนทำหมันซะตั้งแต่มันจะไปแพร่พันธุ์แห่งการเกิดต่อเนื่องไม่จบสิ้น นี่ ก็ชิง...การได้ยินได้ฟัง มันก็ชิงตัดช่อง ตัดช่องแล้ว ช่องไหล ช่องไปช่องมาแล้ว

กลับมา ยูเทิร์น (U-TURN) เหมือนยูเทิร์นกลับ รู้โง่ๆ เห็นโง่ๆ ในกายโง่ๆ กายมันนั่งอยู่โง่ๆ นะ เหมือนไอ้ใบ้ อีใบ้ ...รู้จักมั้ยไอ้ใบ้อีใบ้น่ะ มันไม่พูดไม่จาอะไรใช่มั้ย 

ก็ไม่ต้องไปพูดกับมัน ก็ไม่ต้องไปหาเหตุผลกับมัน ก็ไม่ต้องไปจัดการกับมัน


โยม –  อยู่กับมันเฉยๆ หรือคะ

พระอาจารย์ –  รู้เฉยๆ เห็นเฉยๆ อย่าคิดมาก


โยม –  พอมันหายไปแล้ว นั่งๆ อยู่ก็ไม่มีกายแล้ว เดินๆ อยู่ก็ขาหาย

พระอาจารย์ –  ถามว่า มันหายจริงไหม


โยม –  ไม่จริงค่ะ

พระอาจารย์ –  นั่นน่ะสิ ...แล้วจะอยู่กับอะไรดีล่ะ จะอยู่กับความไม่จริงหรือจะอยู่กับความจริงดี


โยม –  ก็ต้องอยู่กับความจริง

พระอาจารย์ –  ก็ต้องกลับไปอยู่กับความจริงให้ได้สิ


โยม –  จริงๆ ขาก็ยังเดินอยู่ก้าวอยู่

พระอาจารย์ –  ก็ยังเดินอยู่ใช่มั้ย แต่ว่าไอ้ที่รู้ว่าขาหายนี่ เกินจริงมั้ย


โยม –  เกินค่ะ

พระอาจารย์ –  แล้วทำไมต้องถามเรา (โยมหัวเราะ) ...ก็รู้อยู่แล้วน่ะ ว่ามันเกินจริง แล้วจะไปทำอะไรกับมันล่ะ ...ก็ต้องกลับมาอยู่กับความเป็นจริงให้ได้ ด้วยวิธีการใดก็ได้

จะเอาหัวตีลังกาก็ได้ ใช่มั้ย ลองสิ ลองหยุดเดินแล้วตีลังกาดูสิ อ่ะ ดูซิมันมีกายมั้ย ...เห็นมั้ย ไม่ใช่เราพูดเล่นนะ ทำยังไงก็ได้ที่ให้เกิดความรู้สึกในตัวขึ้นมา ชัดเจนขึ้นมา แล้วอยู่กับจุดนั้น

เห็นมั้ย ตรงนี้ ที่ไม่ใช่ง่ายๆ ...อะไรง่ายๆ คือ...สูดลมหายใจแรงๆ ก็เกิดความรู้สึกในกายขึ้นมาแล้ว นี่อยู่กับรากฐานความเป็นจริงแล้ว

แต่มีอย่างนึง...คืออะไร ...เวลาขาหาย ตัวหาย หัวหาย มือหายนี่ ...รู้สึกมันว่ะ มันพิสดารดี มันแหม..อืม ไม่ใช่ธรรมดานะเนี่ย กูนี่


โยม –  ไม่ใช่ค่ะ มันกลัว

พระอาจารย์ –  กลัวก็ได้ แล้วทำได้มันก็ดีด้วยนะ ลักษณะพวกนี้ นิมิตพวกนี้ เป็นได้หมด

เพราะนั้น พยายามดึงความรู้สึกตัวขึ้นมา ...การเคลื่อนไหว การเดิน การรู้ที่ความเคลื่อนไหว  ตัวนี้มันจะทำให้จิต ทำให้สติ ทำให้การระลึกรู้อยู่กับกายนี่ มันชัดขึ้น

แต่เมื่อใดที่มันรู้สึกว่ากายหายไปนี่  หนึ่ง...หายไปด้วยอำนาจของสมถะ  สอง...หายไปด้วยอำนาจของกิเลสความเป็นโมหะ ไม่รู้มันหายยังไง มันหายได้สองแบบ

คือหายไปแบบใจลอย นี่กายก็หายเหมือนกัน  หรือจิตมันรวมไปในฌานสมาบัติที่สาม-สี่ ขึ้นไป สามขึ้นไปนี่กายหายแล้ว อีกอย่างคือ ถีนมิทธะ...หลับ ไอ้นี่ก็กายหายเหมือนกัน

ไปดูเอาเองว่ามันหายด้วยเหตุไหน แล้วแก้ยังไงก็แก้ไปตามเหตุนั้นๆ อย่าอยู่กับกายหายแล้วไปยินดีพอใจหรือเพลิดเพลินกับมัน


โยม –  จะหยุดเดินเพราะว่ากลัวค่ะพระอาจารย์

พระอาจารย์ –  ดูความกลัว รู้ว่ากลัว แล้วก็เดินไปกับความกลัว อย่าหนี


โยม –  จนความกลัวหายไปหรือ

พระอาจารย์ –  ไม่รู้ ...อย่าหนีก็แล้วกัน หาย-ไม่หายไม่รู้


โยม –  ก็จะมานั่ง ...เปลี่ยนเป็นนั่งต่อ

พระอาจารย์ –  นี่ มันมีจุดประสงค์ เพราะมันกลัว จะหนีกลัว ...อดทนหน่อย


โยม –  แต่เวลานั่ง ยามนั่ง อวัยวะมันก็หายไปอีก

พระอาจารย์ –  เดินใหม่ อย่าให้มันหาย


โยม –  พอเดินใหม่ บางครั้งพื้นดินน่ะ มันเป็นพื้นอยู่ดีๆ มันก็จะยุบลงไป ลุ่มๆ ดอนๆ ...มันก้าวยากน่ะค่ะพระอาจารย์

พระอาจารย์ –  ชั่งหัวมัน เดินไปเหอะ จิตมันหลอก


โยม –  มันกลัวจะหล่นลงไปในหลุม

พระอาจารย์ –  อย่ากลัวๆ อย่าอยู่ใต้อำนาจของความกลัว อย่าอยู่ใต้อำนาจของจิตปรุงแต่ง ...ทั้งหมดจิตปรุงแต่งหมด มันมาบังกายหมด

เดินเข้าไปเหอะ ให้มันยุบหายลงอเวจีไปเลย ดูซิมันจะลงมั้ย หายมั้ย ...เอาให้มันใหญ่กว่าความกลัว ถ้าไปตายแค่ความกลัวเดี๋ยวก็อยู่แค่นี้แหละ งอมืองอตีนอยู่แค่นั้นแหละ

เดินเข้าไป ดูสิ มันจะจมไป..ทะลุไปถึงอเวจี ก็ดูดิ๊กูจะไปเดินเล่นในอเวจีซะหนึ่งรอบ มีอะไรมั้ย ...ให้มันใหญ่กว่านี้หน่อย อย่าเสาะ อย่าใจเสาะ ไม่งั้นมันก็เอาตัวนี้มาหลอกอยู่ประจำ เป็นรูทีนเลย


โยม –  แล้วมันก็จะไม่ไปไหน

พระอาจารย์ –  ไม่ไปไหนอ่ะ แหงกๆ หงำเหงอะ เหงือก อยู่อย่างเงี้ย นะ ...เพราะนั้นต้องอาจหาญ ...กายไม่หาย  จริงๆ ไม่หายนะ โดยความเป็นจริงไม่หายไปไหนเลย

เป็นอาการของจิตบดบังหมด เป็นความปรุงแต่งของจิต เป็นอารมณ์มาบดบังกายหมด มาบดบังความเป็นจริงของปัจจุบันกายปัจจุบันศีลหมด

แล้วมันจะสร้างสภาวะหลอกมากมายมหาศาล ...ถ้ายังอยู่ใต้อำนาจของมัน ยอมอยู่ใต้อำนาจของมัน

ต้องพยายามฝืน...ตายเป็นตาย ...ที่มันกลัวตก เพราะอะไร ...มันกลัวเราตาย กลัวเราหกล้ม กลัวเราเจ็บ 

ก็...เออ อย่างมากก็แค่ตายล่ะวะ เดินไปเหอะ เดี๋ยวความรู้สึกตัวก็จะค่อยๆ ปรากฏขึ้น


(ต่อแทร็ก 11/24  ช่วง 2)