พระอาจารย์
11/32 (add560623C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
23 มิถุนายน 2556
(ช่วง 3)
(หมายเหตุ : ต่อจากแทร็ก 11/32 ช่วง 2
นั่นมันเรื่องของเขา
เราห้ามไม่ได้หรอก ...เป็นเรื่องของกิเลสคน เป็นเรื่องของความไม่รู้ ไม่เข้าใจ เขาก็คุ้นเคยกับธรรมเนียมของโลก ประเพณีนิยมในโลก
แต่เราก็คอยละ คอยขาด คอยวางอยู่ภายใน...ที่ไม่เอาๆๆ อยู่ข้างใน ...จะว่ายังไง
จะมีเงื่อนไขอะไรขึ้นมาก็ทำความเพียรเพ่งอยู่ภายในกายใจตัวเองเท่านั้นน่ะ
มันก็เป็นการแกะออกอยู่ตลอด แกะอารมณ์
แกะความรู้สึก แกะอดีต ถอนอนาคต ไม่คิดไม่ปรุงว่าเขาจะเป็นยังไงต่อไป อย่างนั้น อย่างนี้ อย่างโน้นมั้ย ...พวกนี้ มันก็ต้องละออกๆๆ
ถ้ามันไปคิดว่า เออ ถ้าอย่างนั้น
เดี๋ยววันข้างหน้า เดี๋ยวพรุ่งนี้ มะรืนนี้เขาจะต้องเป็นอย่างนี้ ...นี่
อย่างนี้ไปไม่รอดแล้ว มันก็ต้องไปตามกระแสเขาแล้ว ด้วยความอ่อนต่อกระแสกิเลสภายนอก
แต่ถ้ามั่นคงตั้งมั่น แล้วก็ละอยู่ภายใน
จะเป็นยังไงก็ช่าง เขาจะเข้าใจ เขาจะไม่เข้าใจ เขาจะทำร้ายยิ่งกว่านี้
เขาจะแย่ยิ่งกว่านี้ ...ก็ทิ้งซะ วางซะ ไม่คิด ...ก็รู้ตัวไป อยู่กับความรู้ตัวไป
นี่เขาเรียกว่าจาโค...สละออก
สละออกซึ่งอดีต ซึ่งอนาคต ซึ่งความน่าจะมี ความน่าจะเป็น ความไม่น่าจะเป็นของคนนั้นคนนี้ ...มันก็ต้องสละออกไป จิตมันถึงจะรวมเป็นหนึ่งอยู่กับปัจจุบันได้
ไม่งั้นมันก็จะแตกกระสานซ่านกระเซ็นด้วยอาการฟุ้งซ่าน
เรื่องนั้นเรื่องนี้ อย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าอย่างนั้นจะเป็นอย่างนี้
ถ้าเราอย่างนี้แล้วเขาจะเป็นอย่างนั้น ถ้าเราไม่ทำอย่างนี้แล้วเขาจะเป็นอย่างนี้
นี่ มันจะมีอยู่อย่างนี้ ...ก็ไม่ไปไหนหรอก
ไปเกิดร่วมกันแล้วกัน นั่นแหละ มันก็จะเป็นอย่างนั้น มันไม่หยุด มันจะไม่หลุด
มันจะไม่พ้น ...แต่ถ้าเขาไม่หลุดก็เรื่องเขา แต่เราต้องหลุดของเรา
เราจะต้องหลุดออกจากความคิดก่อน
เราจะต้องหลุดจากอดีตอนาคตของตัวเองก่อน ...แล้วก็กลับมาอยู่ในฐานของปัจจุบัน
ฐานกายฐานศีลก่อน ฐานรู้นี่แหละ
เพราะนั้นเวลามีปัญหาอะไร ...ทำความรู้ตัวน่ะคือการแก้ในองค์มรรค แก้ด้วยมรรค แก้ด้วยศีลสมาธิปัญญา
ไม่ได้แก้ด้วยความคิด ไม่ได้แก้ด้วยการมโนภาพสถานการณ์อดีตอนาคตขึ้นมาแก้
ความประเมินตามหลักสถิติ...จิตมันชอบประเมิน...ที่ผ่านมาเราเคยทำอย่างนี้ แล้วมันเป็นอย่างนี้ ถ้าเราทำอย่างนั้นแล้วน่าจะเป็นอย่างนั้น ...มันจะประเมินอย่างนี้
เขาเรียกว่าปัญญาแบบมั่วๆ จิตมันมั่ว
แล้วก็คะเนเอา คาดเอา ...ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ถ้าได้ก็ฟลุ้คก็ดีใจ
ถ้าไม่ได้ก็ว่าหาวิธีใหม่ต่อไปแล้วกัน ...มันจะไม่ออกจากความฟุ้งซ่าน หรือความคิดได้เลย
คือถ้าตัดอกตัดใจแล้วก็...อะไรจะเกิดก็ช่าง...ช่างหัวมัน เดี๋ยวก็ตายกันแล้ว มันไม่อยู่กันเป็นล้านปีหรอก ใช่ป่าว ไม่มันตายก่อน
กูก็ตายก่อนมัน อย่างเนี้ย มันก็ตาย สุดท้ายก็ตายทั้งคู่ ตายก่อนตายหลังก็ตาย
หลวงปู่ท่านบอกว่าเอาตายมาตัดเลย ...คิดมากทำไม ตายทั้งนั้น คิดมากก็ตาย เจอก็ตาย ไม่เจอก็ตาย เขาดีก็ตาย
เขาไม่ดีตอบก็ตาย...ตายทั้งนั้น
ไปคิดทำไม จะไปกังวลทำไมกับเรื่องราว
หรือใครมันไม่ตาย ...นี่ จิตมันจะได้หดตัวลงมา...พวกนี้เป็นอุบาย
เพื่อให้จิตมันหยุดคิด ออกจากความคิดได้ง่ายขึ้น
แต่ถ้ามีกำลังของสติสมาธิปัญญาแล้ว ไม่ต้องใช้อุบายเลย มันก็สามารถออกได้...โดยที่ว่าถอนออก ยกกำลังถอนออกมาเลย ยกกำลังถอยออกมาเลย
แล้วเดี๋ยวมันก็จะเคลื่อนๆ คล้อยๆ ออกไป ...พอทันปุ๊บ ยกกำลังถอนออก...ถอนออกมาตั้งอยู่ที่ความรู้สึกในกาย...ตั้งกับรู้ ตั้งเห็นอยู่ภายในขึ้นมา
ถ้าฝึกอย่างนี้
มันจะมีกำลังของตัวเองมากขึ้นในการที่จะทานทนต่อสิ่งแวดล้อม...ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต มันก็อยู่ด้วยการที่ว่ายกกำลังถอยออก
คอยหมั่นยกถอนออก..บ่อยๆ
กำลังมันก็จะพอกพูนขึ้น อำนาจของสมาธิ
อำนาจของการละ การตัด การวางความรู้สึกในอดีตอนาคตที่มันเชื่อว่าจะมี
แล้วมันต้องมีแน่ๆ เลยน่ะ อย่างนั้นน่ะ
ไอ้ตรงที่มันเชื่อว่าต้องมีแน่ๆ
เลยตรงนี้...มันจะไม่ยอม ไม่ยอมถอนออก ...เพราะมันเข้าไปเที่ยงแล้วกับอนาคต
มันเข้าไปให้ความสำคัญว่าเที่ยงแล้วกับอนาคต
พอเที่ยงเมื่อไหร่แล้วมันถอนได้ยาก
มันไม่ยอมถอนจากความคิด มันก็จะไปวนเวียน นั่นน่ะ ดงหมามุ่ยน่ะ ดงระเบิดเลยนั่น ...มันไม่รู้หรอกว่ามันกำลังเข้าไปติดกับดักวงจรของกับระเบิด
นั่น มันก็มีทุกข์กับทุกข์เป็นที่รองรับข้างหน้าต่อไปไม่จบไม่สิ้น
แล้วจะพัวพันไม่จบ..ไม่จบไม่สิ้นเลย
แต่ถ้าหักหาญกันตรงๆ ก็ถอนออก ...ถ้าหักหาญตรงๆ
ไม่ได้ก็ใช้อุบาย...เออ ช่างมันเดี๋ยวก็ตายแล้วโว้ย
โกรธกันก็โกรธไป ถึงมันโกรธเราจนตาย เดี๋ยวมันก็ตาย เดี๋ยวเราก็ตาย
ก็ไม่เห็นมีอะไรกัน
นี่ จิตมันจะหยุด ตัดๆๆ ตัดไปเป็นระยะๆ ...มันก็สามารถกลับมาอยู่กับตัวเองได้
มันก็สามารถอยู่กับอิริยาบถกายปกติได้ปัจจุบันได้ ...แม้จะเป็นขณะหนึ่งก็ต้องทำ
แล้วมันก็ออกไปอีก ...ไอ้อาการออกนี่เขาเรียกว่าวนเวียนซ้ำซากน่ะ เข้าใจรึเปล่า มันไม่เป็นสมุจเฉทหรอก
ในระดับปัญญาขั้นต้นนี่ ไม่เป็นสมุจเฉทหรอก ...เดี๋ยวก็ไปอีกแล้ว
พอเริ่มตายใจ พอเริ่มประมาท ไปแล้ว
เคลื่อน ไหลไปคิดโดยไม่รู้ตัวเลย วนไปที่เก่า วนไปจมร่องเก่า การกระทำเขาอย่างนั้น
เขาอย่างนี้ การพูดอย่างนั้น...มันกิน มันกลั่น มันคามันข้องอยู่ภายในเป็นสัญญา
ก็เอาอีก ถอนใหม่ ...คอยถอนคอยรู้คอยละๆ
คอยถอนออกมาอยู่ โดยมีฐานคือกายใจปัจจุบันเป็นฐานที่ตั้ง ...คือถ้ามันถอนออกแล้วมันไม่มีที่ตั้งนี่ มันอยู่ได้ไม่นาน แค่ถอนออกๆ แล้วมันก็ลอย
แต่ถ้าถอนออกแล้วมันตั้ง..ตั้งอยู่กับฐาน..ฐานกายฐานรู้อย่างเนี้ย มันก็จะมีที่ตั้งที่มั่น เป็นเกราะที่ตั้งที่มั่น เป็นเกราะกำบัง มันก็จะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ศีลก็แข็งแรงขึ้น
สมาธิก็มั่นคงขึ้น กายก็ชัด
คำว่าศีลมั่นคงขึ้น ชัดเจนขึ้น ก็คือมันชัดในกายปัจจุบัน รู้ก็ชัดเจนขึ้น ...ก็ต้องทำบ่อยๆ ทำบ่อยๆ ถอนบ่อยๆ ละบ่อยๆ ก็คอยละคอยเลิกๆ ตลอดเวลาแหละ
การภาวนาที่แท้จริงน่ะ
ไม่ปล่อยให้จิตไปเกาะเกี่ยว ผูกพัน ไปก่อสร้างเค้าโครงอะไรขึ้นมา
เผลอแป๊บเดียวมันเค้าโครงสร้างบ้านสร้างเมืองได้เป็นหนึ่งประเทศเลยน่ะ
ไวจริงๆ น่ะจิต สร้างลูกสร้างหลาน
มีลูกจบปริญญาตรีโทเอก แล้วลูกมีหลาน ได้หมดเลย เชื่อมั้ย แป๊บเดียวเองน่ะ
เห็นมั้ย มันสร้างโลกได้เต็มโลกเลยน่ะ...โลกของมันน่ะนะ
ถึงบอกว่าต้องคอยละคอยถอนออกอยู่ตลอด
ไม่ใช่ไปไล่ดูมัน ไปคอยดูมัน ...ละเลยๆ ละกลับมาอยู่กับกายเลย ละแบบหน้าด้านๆ เลยน่ะ
ละแบบไม่ใยดีเลยน่ะ ไม่ยี่หระเลยน่ะ ไม่เสียดายน่ะ
ไม่เสียดายความคิดน่ะ
ไม่เสียดายอดีตอนาคต ...บางทียังมีลูกติดพันนะ ถอนมาแล้วยังเสียดาย
คิดต่ออีกหน่อยมั้ย อย่างเนี้ย ถ้าไม่คิดแล้วมันไม่แล้ว
ถ้าคิดยังไม่จบแล้วมันไม่สุด ยังไม่สมบูรณ์
ไม่มีคำว่าสมบูรณ์เพอร์เฟ็คหรอกความคิดน่ะ ...ถมเท่าไหร่มันถมไม่เต็มหรอก แง่มุมล้านแปด มันคิดได้หมดน่ะ พลิกแพลงไปได้หมด
จิตมันพลิกแพลงได้ตลอด ความคิดความปรุง
เพราะนั้นว่าวิธีจัดการกับมันอย่างเดียวคือ
ถอยออกถอนออก ทิ้งเลยๆๆ อย่างนี้ โง่ๆ ดื้อๆ ด้านๆ เลย ...ไม่ต้องไปคอยดูคอยรอ กว่ามันจะดับแล้วค่อยมาตั้งมั่นอยู่กับกาย...ไม่มีทางน่ะ ในระดับนี้น่ะ
ถอยออก ถอนออก วางเลย ในปัจจุบัน ...กายมันก็มีอยู่แล้วเป็นที่ให้รู้ เป็นที่ให้ดู เป็นที่ให้เห็น
เป็นที่อันควรอยู่น่ะศีล ...ถึงบอกว่าศีลนั่นแหละสำคัญ ถ้าไม่มีศีลแล้วนี่
ล้มเหลวหมดเลย
จิตมันพาตกระกำลำบากไปหมด..พร้อมกับ "เรา" ...จิตมันออกไปพร้อมกับเรานั่นแหละ ผู้ค้นผู้หา ผู้ไปผู้มา ผู้มีผู้เป็น ...ไอ้ผู้ทั้งหมดนั้นน่ะคือ "เรา" แล้วก็เป็นผู้ที่ทุกข์ไม่จบไม่สิ้น ไม่หมดเรื่องหมดราวสักที
ทั้งที่ว่า แค่นั่งนี่ รู้ว่านั่งนี่
ทุกอย่างจบเลย ไม่มีอะไรเลยน่ะ ...อดีตไม่มี อนาคตไม่มี
ปัจจุบันยังแทบจะหาไม่เจอเลย เพราะปัจจุบันก็มาเป็นระลอกๆ แล้วก็หายไปๆ แค่นั้นเอง
นี่ กลับมาอยู่กับปัจจุบันกาย
ปัจจุบันศีล แล้วทุกอย่างมันก็จะชัดเจนในตัวของมันเอง ...ไม่ต้องไปหาความชัดเจนที่อื่น ไม่ต้องไปภาวนาที่อื่น ภาวนาอยู่ที่เดียวนั่นแหละ
กายเดียวใจเดียว รู้เดียว
แล้วมันจะเกิดความรู้แจ้งเห็นจริงในกายเดียวนี้...ว่ากายนี้เป็นใครของใคร หรือไม่ได้เป็นใครของใคร หรือเป็นเพียงแค่อาการเกิดดับ ธรรมชาติที่เกิดดับ
มันเป็นเพียงแค่ธรรมชาติเกิดดับ ที่ไม่มีใครครอบครองได้
ไม่มีใครบงการได้ ไม่มีใครควบคุมได้ ไม่มีใครสั่งการได้ ...นั่น มันก็จะเข้าใจในปัจจุบันกาย
ปัจจุบันธรรมขึ้นมาเอง
นั่นน่ะ เรียกว่าแจ้งอยู่ในปัจจุบัน
แล้วก็แจ้งกับปัจจุบัน แล้วก็แจ้งในทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ...มันก็จะแจ้งอยู่ตรงนี้ ที่นี้เอง ที่ทำความรู้แจ้ง
ไม่ใช่ไปแจ้งที่อื่นเลย ไม่ใช่ไปแจ้งตามตำรา
ตามสภาวะอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วเกิดความรู้ความเข้าใจให้จนแจ้ง..ไม่ใช่ ...มันแจ้งอยู่ทุกปัจจุบันที่ปรากฏนี่เอง
แล้วโดยเฉพาะมันต้องมาแจ้งในปัจจุบันกายนี้ก่อน...ว่าไอ้ปัจจุบันกาย ไอ้ปัจจุบันนั่งมันคืออะไร
ไอ้ปัจจุบันความรู้สึกที่มีอยู่ในการนั่งนี่มันคืออะไร ...นี่ มันแจ้งหรือยัง
ถ้ามันยังไม่แจ้งน่ะ เดี๋ยวก็เป็นเรา
เดี๋ยวก็ไม่เป็นเรา เดี๋ยวก็เป็นเรื่อง...นี่ ยังไม่แจ้ง ...ถ้ามันแจ้งแล้วมันหายสงสัย ถ้ามันแจ้งนี่...อ้อ หายสงสัยแล้ว ไม่มีเราเลยน่ะ ไม่มีเราจริงๆ เลย
นี่เรียกว่าหายสงสัย
วิจิกิจฉามันก็ถูกทำลายไป …แต่ถ้ายัง เอ๊ะ ทำไมมันยังเป็นเราอยู่
มันมายังไงวะเรา ทำไมยังเป็นเรา ก็มันนั่งก็เป็นแค่นั่ง
ทำไมยังรู้สึกว่าเป็นเราอยู่ ...นี่ เขาเรียกว่ายังไม่แจ้ง
ก็ทำความแจ้งซ้ำๆๆๆ ลงไป
ด้วยการระลึกรู้ ดู เห็นมัน ...ซ้ำลงไปที่เดิมนั่นแหละ ในอาการเดิมนั่นแหละ
เดี๋ยวมันก็จะเปิดเผยความเป็นจริงขึ้นมาเอง
เพราะว่าศีลสมาธิปัญญามันจะเป็นตัวคัดกรอง
กลั่นกรองสิ่งที่ไม่จริงออก สิ่งที่มันปนเปื้อน ...เหมือนเป็นเครื่องกรองน้ำ
เหมือนเป็นเครื่องกรองกากตะกอนออก
จนเหลือแต่กายเพียวๆ กายเน็ทๆ
กายล้วนๆ กายที่ไม่ใช่ของใคร กายที่เป็นแค่เพียงมหาภูตรูป กายที่เป็นเพียงแค่สักแต่ว่ากาย
สักแต่ว่าการปรากฏ สักแต่ว่าอาการ ...มันก็จะเหลือแต่กายตัวนั้น
มันกลั่นกรองด้วยศีลสมาธิปัญญา
อะไรที่ไม่จริงมันก็อยู่ในกายไม่ได้ มันก็เอาออก มันก็เหลือแต่กายจริงๆ ล้วนๆ ...ตรงนั้นน่ะ มันก็เข้าสู่ความบริสุทธิ์กาย กายวิสุทธิ ศีลวิสุทธิขึ้นมา
แล้วมันก็จะต่อเนื่องอยู่ในกายอันบริสุทธิ์นั้น
ดำรงความบริสุทธิ์นั้นไป จนจบวาระขันธ์ อายุขัย นั่น...เพราะนั้นกระดูกพระอริยะ
พระอรหันต์ถึงเป็นแก้วไง เพราะท่านอยู่กับกายบริสุทธิ์ไง
ท่านไม่ได้อยู่กับกายที่มีมลทิน
ท่านทำความบริสุทธิ์ในกายได้ตลอดเวลา ธาตุขันธ์ก็กลายเป็นความบริสุทธิ์ขึ้นมา
เป็นธรรมชาติที่แท้จริงคือธาตุอันบริสุทธิ์ เป็นขันธ์อันบริสุทธิ์
เอ้า เท่านี้ก่อน ...ทำให้มากกว่าฟัง ...คอยถามตัวเองไว้ “ทำอะไรอยู่”
.................................