วันศุกร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2558

แทร็ก 11/13 (1)


พระอาจารย์
11/13 (560517D)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
17 พฤษภาคม 2556
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ : แทร็กยาว แบ่งโพสต์เป็น 2 ช่วงนะคะ)

โยม  –  พระอาจารย์คะ ขออนุญาตค่ะ  พอดีประสบการณ์ที่ผ่านมา คืออยู่หน้าคลีนิคเป็นเคาน์เตอร์ให้คุณหมอ  คือจะมีความสงสัยอยู่อย่างนึงว่า มีปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับกายเรา เราก็ไม่แน่ใจว่ามันเป็นอุปาทานรึเปล่า 

แต่ถ้ามันเป็นอุปาทาน ทำไมมัน...คือเราไม่ได้รู้เหตุก่อน จิตทำไมมันปรุงได้อย่างไร  คือว่าเราทำงานปกติอยู่ ก็จะรู้สึกปวดแขน ชาแขนขึ้นมาถึงข้อศอก เราก็ตกใจว่าเราป่วยเป็นอะไร 

สักพักนึงก็มีคนไข้เข้ามาหาคุณหมอค่ะ มาทำบัตรใหม่ แล้วก็บอกว่าป่วยเป็นอย่างนี้น่ะค่ะ  เราก็แปลกใจว่าวิบากกรรมของคนไข้...ซึ่งเรายังไม่รู้ล่วงหน้าเลย มาปรากฏกับเราได้อย่างไรน่ะค่ะ


พระอาจารย์ –  เข้าใจมั้ย ว่าจิตนี่มันถึงกัน กระแสจิตนี่มันถึง 

แล้วลักษณะของจิตที่เคยฝึกฝนมาในอดีต มันสามารถเข้าไปรับกระแสพวกนี้  แล้วกระแสจิตพวกนี้ก็จะมาแสดงให้เหมือนกับเป็นอาการภายในขึ้นมา

คือจิตของคนไข้นั่นน่ะเขามีความมุ่งมั่นในความปวด มันมีความแรงของจิตที่มันคุมตัวตนของความเจ็บ แล้วมันเป็นกระแส  แล้วกระแสพวกนี้ลักษณะมันเหมือนกับรัศมีคลื่น 

แล้วลักษณะของจิตเรามันเข้าไปรับกระแสพวกนี้ มันก็จะมาก่อเป็นรูปลักษณ์ตัวตนที่ปรากฏกับขันธ์ปัจจุบันของตัวเอง ...นี่คืออาการของจิต


โยม –  อ๋อ นี่มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้จริงๆ

พระอาจารย์ –  ได้ เกิดได้


โยม –  เพราะว่าก็ยังไม่แน่ใจน่ะค่ะ ว่า...เอ๊ ถ้าเรารู้ล่วงหน้าว่าเขาจะมา ก็เหมือนเราปรุงแต่ง  แต่นี่เราไม่รู้เลย

พระอาจารย์ –  เป็นธรรมชาติของจิต


โยม –  แล้วก็ถ้าว่ามีคนทำงานอยู่ 4-5 คนอย่างนี้ ทำไมมาเกิดกับเราคะ

พระอาจารย์ –  เอ้า ก็บอกแล้วว่าเคยเป็นคนที่ฝึกจิตมา


โยม –  อ๋อ

พระอาจารย์ –  อย่างพวกเราไม่รู้หรอก...ว่าเราเคยฝึกจิตมาเท่าไหร่ แล้วมันมีสันดานในลักษณะนี้อยู่ ที่จะรับรู้รับทราบเรื่องเหล่านี้ โดยที่ตัวเองไม่ได้ตั้งใจทำ ...เป็นเรื่องของจิตเขาทำงาน


โยม –  ถ้ากรณีอย่างนี้ ก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ หรือว่าเราจะต้องปิดอะไรไม่ให้เกิดขึ้นกับเรา

พระอาจารย์ –  ไม่ต้องทำอะไร เป็นเรื่องของมัน ...โยมก็อย่าไปว่าเป็นเรื่องของเรา


โยม –  แต่มันมีครั้งนึงนะคะ จะมีคนไข้...คือตัวคนป่วยมาเลยน่ะค่ะ  แล้วเรา...จิตเราสงสารเขาน่ะค่ะ เขาปวด เขารอพบหมออยู่ เราก็ให้ยาแก้ปวดเขาทานไปก่อน  หลังจากนั้น เราก็ปวดเหมือนเขาเลยทั้งแถบข้างซ้าย ประมาณเดือนนึงค่ะ

พระอาจารย์ –  นี่เป็นลักษณะของจิตที่มันเข้าไปรับอุปาทาน


โยม –  อันนี้เราเข้าใจได้ว่ามันมีตัวตนจริงมาปรากฏนะคะ  เอ๊ เราก็นึก เราอุปาทานปวดกับเขาอย่างนี้

พระอาจารย์ –  อือ มันเข้าไปรับ จิตมันเข้าไปรับเอง


โยม –  นี่ค่ะ แล้วทำงานอย่างนี้มันไม่เสี่ยงกับความเจ็บป่วยของเราหรือ

พระอาจารย์ –  ไม่เสี่ยง ... มันเป็นเรื่องของจิตปรุง...จิตมาปรุงกาย


โยม –  อ๋อ หรือคะ  นี่ก็ป่วยไป...ปวดไปประมาณหนึ่งเดือน ...เราก็ทุกข์น่ะนะคะ

พระอาจารย์ –  เข้าใจมั้ยว่า นี่ เพราะจิตมันไปยึดเป็นอุปาทานขึ้นมา


โยม –  ถ้าเราเห็นแล้วเราเฉย จะไม่เป็นอะไร

พระอาจารย์ –  ใช่ ...อย่าไปจริงจัง


โยม –  เราสงสารเขามาก

พระอาจารย์ –  อย่าไปจริงจัง ...แค่เห็นแล้วก็ให้ดูความรู้สึกเฉยๆ ...อย่าไปน้อม อย่าไปเอามา เป็นตัวของเรา เรื่องของเรา


โยม –  บางคนก็พูดว่าเจ้ากรรมนายเวรของคนนั้นไม่ยอม ต้องมาทำร้ายเราแทนอะไรอย่างนี้

พระอาจารย์ –  เลิกไอ้ระบบเจ้ากรรมนายเวรไปเลย


โยม –  นี่ค่ะพอเขาพูดอย่างนี้ก็กลัว ไม่อยากทำงานให้หมออีกเลย ...คือเรานึกว่าเราก็อ่อนแอ ใจเราก็อ่อนไหว

พระอาจารย์ –  มันเป็นเรื่องของจิต 

เจ้ากรรมนายเวรนี่ ...สมมุติโยมนี่ไปด่าพระอรหันต์สักองค์โดยที่ไม่รู้ว่าเป็นพระอรหันต์ แล้วมันมีเจตนาที่ไม่ดีเป็นหลักมาก่อน นี่ เกิดขึ้นแล้ว มีกรรมแล้ว มีผลของวิบากกรรมแล้ว

แต่ว่าองค์นั้นน่ะเป็นพระอรหันต์ ...หมายความว่าอะไร  หมายความว่าพระอรหันต์องค์นั้นจะไม่กลับมาเกิดอีก  หมายความว่าจิตท่านไม่มีแล้ว หมายความว่าความเป็นบุคคลน่ะหมดสิ้นแล้ว ใช่ไหม พระอรหันต์

แต่กรรมที่โยมทำกับพระอรหันต์นั่นยังเหลืออยู่ วิบากยังมีอยู่ ... ทั้งๆ ที่ว่าจิตท่านตายแล้ว จนขันธ์ตายแล้ว จิตก็ตาย  ...แต่วิบากกรรมที่โยมทำยังไม่หมด...ยังมี  

แล้วถามว่า มันจำเป็นมั้ยจะต้องมีเจ้ากรรมนายเวร เข้าใจมั้ย ...ยังมีใครมาเป็นคนตั้งหน้าตั้งตาเอาเวรเอากรรมกับโยมอีกล่ะ ...ก็พระอรหันต์ท่านไม่มีจิตอีกแล้วน่ะ ไม่มีความเป็นบุคคลอีกแล้วในสามโลกธาตุ 

แต่กรรมยังแสดงผลอยู่ วิบากยังแสดงผลอยู่ ...ต่อให้โยมเกิดอีกร้อยชาติก็ยังแสดงผลกรรมนี้อยู่ เข้าใจมั้ย โดยที่ไม่มีพระอรหันต์องค์นั้นมาเป็นเจ้ากรรมนายเวร

เข้าใจมั้ยว่าไอ้ระบบเจ้ากรรมนายเวรนี่...มันเป็นความเชื่อนะ มันเป็นธรรมเนียมนิยม  จนกลายเป็นรูปแบบขึ้นมาจริงๆ จังๆ  ...จนเกิดความคลาดเคลื่อนในกฎแห่งกรรม 

กฎแห่งกรรมก็คือกฎแห่งกรรม ...ไม่ใช่กฎของบุคคลใดบุคคลหนึ่งที่มาเป็นตัวชี้เป็นชี้ตาย ว่าการเจ็บไข้ได้ป่วยครั้งนี้เพราะว่าเจ้ากรรมนายเวรมันมาบีบ ...ไอ้พวกเหล่านี้หมอพวกนี้มันจะเจอหนัก ไอ้พวกหมอรักษาเส้นนี่แหละ


โยม –  อ๋อ ที่ว่ามาเกาะ

พระอาจารย์ –  ก็ว่าผีมาเกาะ มาที่บั้นเอวบ้างอย่างนี้ ...ถ้าเป็นหมอจริงก็บอก กระดูกทับเส้น ... มันเรื่องของเส้นประสาทมันผิดสมดุล  เข้าใจมั้ย

ถ้าไปพวกระบบเจ้ากรรมนายเวร ก็บอกว่านี่มีผีมาตั้งสิบตัวเกาะอยู่ข้างในนี่  ไปหามาแล้ว แล้วก็ทำพิธีรดน้ำหมากราดน้ำมนต์  มันก็หายไปสักห้าตัวแล้ว ...ก็ว่ากันไป ไอ้นี่คือลัทธิความเชื่อ เข้าใจมั้ย

แต่ถ้าเราเชื่อเรื่องของกรรม กฎแห่งกรรมแล้วนี่  Action เท่ากับ Reaction ... ถามว่าใครเป็นคนสร้างระบบนี้ ...ไม่รู้อ่ะ  แต่ว่ามันเป็นกฎธรรมชาติที่ว่า...คุณออกแรงกระทำเท่าไหร่ คุณจะได้รับผลเท่านั้น  

ถ้าคุณชกกำแพงน่ะ ด้วยหมัดที่กำไว้...แล้วมีเจตนาจะชกให้สุดแรงเกิดน่ะ  คุณจะต้องเจ็บมากขึ้นเท่านั้น...โดยที่ไม่ต้องมีใครทำให้คุณเจ็บเลย

นี่คือกฎของธรรมชาติ นี่คือกฎของกรรม นี่คือกฎแห่งกรรม ...ไม่มีใครหรอกมาเอาคืน ไม่มีใครหรอกมาเป็นเจ้าหนี้เจ้ากรรม จองเวรจองกรรม  แล้วมาชี้ว่า "นี่ จะหมดแล้วนะ ที่ฉันเอานี่มันสะใจฉันแล้ว" ... อู้ย อะไรมันง่ายปานนั้น

ดูพระโมคคัลลาน์ ...เศษกรรมของท่านที่ตีพ่อตีแม่ลงเหวน่ะ สุดท้ายก็ยังโดนตี จนกระดูกแหลก ...พระอรหันต์นะนั่นน่ะ ก็ต้องชดใช้จนหยดสุดท้าย อณูสุดท้ายของการกระทำ action นั้นๆ ...จนมันหมดซึ่งแรง action เป็น reaction สุดท้าย ท้ายสุด

ท่านหนีสามครั้งนะ ก็ไม่พ้น สุดท้ายต้องยอม จนต้องยอมหมดสิ้นกับกรรมนั้นๆ จริงๆ ...นี่คือความสมดุล คืนความสมดุลให้โลก ...จนถึงที่สุดไม่มีอะไรเหลือติดค้างข้องคา แม้แต่แรง อำนาจ วิถี อณูใดอณูหนึ่ง...ยังไม่เหลือ 

เห็นมั้ยว่าท่านยอมรับกฎแห่งกรรมโดยสมบูรณ์ ...ซึ่งจริงๆ ท่านหนีได้ เลี่ยงได้ เหาะหนีสามครั้งสี่ครั้ง หรือจะไม่ยอมถูกตีจนตายก็ยังได้ ... แต่ท่านดูแล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้  ถึงท่านจะหนีไปแค่ไหน ตายแล้วก็ยังเข้านิพพานไม่ได้ เชื่อมั้ย 

หากยังเหลือเศษกรรม ...แม้จิตจะถึงอรหัตแล้วก็ตาม  แต่ยังต้องไปค้างข้องอยู่ในภพใดภพหนึ่ง  เพื่อรอให้หมดซึ่งกรรม อันเป็นสุดท้ายท้ายสุดนี้ ...นี่ จึงไม่มีคำว่าใครเหนือกว่ากรรมเลย


โยม –  แล้วที่ได้ยินมาว่า ...ถ้าเราสำนึกได้ก่อน หรือเราขอขมากรรมไปเรื่อยๆ นี่ จะช่วยผ่อนคลายกรรมนั้น  อันนี้ช่วยได้ไหมคะ

พระอาจารย์ –  ลักษณะนี้ เขาเรียกว่าการอโหสิกรรม ...มันเป็นอุบาย


โยม –  อุบายให้จิตเรา

พระอาจารย์ –  หมายความว่าให้จิตเนี่ย...คลายจากความยึดในการกระทำนั้นๆ


โยม –  เราจะรู้สึกผิดมากๆ

พระอาจารย์ –  อือ แล้วอโหสิ ... คือยิ่งรู้สึกมันมากเท่าไหร่ ก็หมายความว่าไปผูกมันแน่นเท่านั้น ...ก็ใช้คำเป็นกุศโลบายว่าขอขมา ขออโหสิกรรม  

แต่ถ้าเป็นกรรมของพระอรหันต์นี่ จิตของพระอรหันต์นี่  การกระทำ คำพูด ความคิด ความเห็น ทุกอย่างนี่ เป็นอโหสิกรรมตลอดเวลา ...ตัวท่านนี่เป็นอโหสิกรรมตลอดเวลา โดยธรรมชาติเลย

เพราะนั้นน่ะ จะไปขอขมาท่านก็เท่านั้นแหละ ...เพราะท่านจะไม่มีจิตที่ไปถือโทษเอาโกรธเลย ในทุกการกระทำ คำพูด ทั้งของตัวเอง และของผู้อื่น ...คือมันเป็นอโหสิตรงนั้นๆ ตลอดเวลาอยู่แล้ว

แต่ในลักษณะจิตของพวกเรานี่ ไม่ได้อโหสิกรรมตลอดเวลา เข้าใจมั้ย  มันยังมีการข้องและคา ยึดและถือ ...ตรงนี้ท่านก็ใช้คำว่าอโหสิกรรมนี่...มาเป็นอุบาย 

เพื่อให้จิตมันคลายออกจากการข้อง ยึดมั่น แนบแน่น จริงจัง เอาเป็นเอาตายกับสิ่งนั้นๆ การกระทำนั้นๆ แล้วไม่ยอมจบ  เพื่อให้มันคลายออกจากความยึดมั่นถือมั่น ...จากครุกรรมก็จะเบาลงเป็นลหุกรรม

เพราะนั้นตัวลหุ ตัวครุ นี่...มันอยู่ที่อาจิณกรรม หรือความซ้ำซาก ... ถ้าซ้ำซากลงไปนี่ก็ครุล่ะ  คือคิดทั้งวัน ตื่นก็คิด นั่งก็คิด ยืนก็คิดแต่เรื่องเดิมน่ะ โกรธก็โกรธคนเดิมน่ะ ...นั่นครุ เดี๋ยวก็เป็นครุ หนักขึ้นเรื่อยๆ นะ 

แต่ถ้ามันอโหสิ เออ แล้วไปๆๆ ... กรรมที่จะเกิดต่อไปในอนาคต...ถือเป็นลหุ เบาลงไปเรื่อยๆ ...จนหยุดคิดโดยสิ้นเชิง หลุดจากกรรมที่จะได้ในอนาคต ไม่มีแล้ว เข้าใจมั้ย

เพราะจิตมันจะสร้างภพรอ ...ยิ่งสร้างหนักแน่นขึ้นเท่าไหร่ มั่นคงเท่าไหร่ เที่ยงขึ้นเท่าไหร่นะ...ครุ รอรับได้เลยๆ ...แล้วมันจะเจอกันเมื่อไหร่..."ไม่มึงตาย ก็กูตาย" นั่นแหละ คุรุ ...คิดกันเข้าไปเถอะ ไม่ยอมแล้วไม่ยอมเลิก ไม่ยอมอโหสิซึ่งกันและกัน

แต่ถ้าถืออโหสิ ...เออ ช่างหัวมันเถอะ ปล่อย อโหสิ ...จิตมันก็เลิกคิด หยุดคิด หยุดไปซ้ำซาก เป็นครุ เป็นอาจิณ ...อาจิณกรรมคือการสร้างกรรมในปัจจุบันนั่นน่ะจะเป็นอาจิณกรรม

พอมันถอยจากครุมาเป็นลหุ...เบาๆ บางๆ  แล้วก็ถืออโหสิไปๆ  จนคลาย จนรู้สึกว่าคิดก็ได้ไม่คิดก็ได้  จิตก็ราบเรียบเป็นกลาง ... ตรงนั้นน่ะคือการไม่เข้าไปผูกกรรม 

นี่คือวิถีของจิตที่ฝึก...ต้องฝึก ต้องอบรม ...แล้วมันจะรู้ว่า ทำ พูด คิด อย่างไรจึงเรียกว่าอยู่เหนือกรรม ไม่อยู่ใต้อำนาจของกรรม

เพราะนั้นตัวพระอรหันต์เท่านั้นน่ะที่จะอยู่เหนือกรรม  ถ้าต่ำกว่าพระอรหันต์ลงมานี่อยู่ใต้อำนาจของกรรม ...เพราะยังมี “เรา” เป็นผู้กระทำอยู่  

เพราะนั้นความเป็น “เรา” นี่ไม่ได้หมดสิ้นที่โสดาบันนะ  สักกาย...ตัวเราของเรา ไม่ได้หมดที่ความเป็นโสดาหรืออริยะขั้นต้นนะ ...เป็นจนถึงพระอรหันต์นั่นแหละ

ความยึดมั่นถือมั่นในตัวเรื่องของเรา...ตัวของเรานี่ ยังมี...ลึกๆ ละเอียดๆ  ละเอียดถึงขั้นไม่เห็นหน้าตาว่าเป็นตัวเรา ...แต่ยังมีความรู้สึกเป็นตัวเราอยู่  

เพราะนั้น การกระทำ คำพูด ทุกอย่างยังมีผลสืบเนื่อง...เป็นกุศลบ้าง เป็นอกุศลบ้าง...ในปัจจุบันชาตินั้นๆ ให้เป็นทุกข์

แต่พอเป็นพระอรหันต์ปั๊บนี่  การกระทำ คำพูด เป็นอโหสิกรรมหมด ... ทีนี้ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่พระอรหันต์


โยม – อยู่ที่เรา

พระอาจารย์ –  เออ ตรงนี้ เขาเรียกว่าแกว่งตีนหาเสี้ยน  ปึ้บนี่...คือมันเกิดความพอใจมั่ง ยึดมั่ง เอาผิด จับผิดจับถูกกับท่าน ...ตรงนี้เขาเรียกว่าสร้างกรรมโดยใช่เหตุแล้ว 

เขาเรียกว่าอยู่ดีไม่ว่าดี ไม่รักษาจิตเจ้าของ ...ไม่คิดก็ตำรวจไม่จับ เข้าใจมั้ย  แล้วไม่สำรวมระวัง ...ท่านก็ห้ามไม่ได้ อันนี้ท่านก็ห้ามไม่ได้

เพราะนั้นการกระทำคำพูดของท่าน ปึ้บนี่ คนพอใจหรือไม่พอใจปุ๊บ  ตัวนี้มันก็จะมีส่งผลกับคนนั้นด้วย ...แล้วการกระทำของคนนั้นก็ส่งผลกับตัวท่านด้วย 

เช่นมาด่าบ้าง หรือแสดงอากัปกริยาที่ไม่นอบน้อมบ้าง อะไรอย่างนี้  เพราะนั้นท่านก็ต้องรับผลเหมือนกันนะ ...แต่ว่าจิตท่านนี่ถือว่าขาดกันแล้ว

แต่ว่าผลของกรรม การกระทำคำพูดของท่านยังส่งผลอยู่นะ เข้าใจมั้ย  เพราะมันไปส่งผล...ผู้มีกิเลสเข้าไปรองรับการกระทำของท่าน...ว่าเป็นตัวตนอย่างนี้ อย่างนั้น อย่างโน้นขึ้นมา 

เพราะนั้นมันก็มีผลกรรมอยู่ในโลก  ตราบใดที่มีขันธ์ก็มีผลกรรมในปัจจุบันนั้นอยู่เป็นระยะๆ ...แต่ว่าจิตท่านนี่จะห่าง ขาดแล้ว  มันคนละร่องกันแล้ว

เพราะนั้นว่าการกระทำของท่านก็เหมือนกับนกบินไปในอากาศ  มันไม่มีร่องรอย...ไม่มีร่องรอยที่ตกค้างว่า...เป็นตัวของท่านที่เคยกระทำ เป็นตัวของท่านที่รับผลการกระทำ เป็นตัวของท่านที่จะได้ผลในการกระทำข้างหน้า ...ไม่มีแล้ว ตัวนั้นไม่มีแล้ว

เพราะนั้นร่องรอยไม่มี ...แต่ว่ามันจะมีผลมาเป็นระยะ เนื่องด้วยคนที่โง่...ที่กระทำต่อท่านต่างหาก  แล้วไอ้พวกนี้ เขาเรียกว่าเล่นของสูง ...เจอหนัก เจอแบบไร้สาระ เจอแบบไม่ควรจะเจอ

เพราะนั้นจริงๆ น่ะ ต้องไม่ใช่ว่าจำเพาะแต่กับพระหรืออรหันต์ ...ที่มันต้องสำรวมจิตทุกขณะ ...ทุกผู้คนเลยนะ ไม่ใช่จำเพาะแต่เวลาเจอพระ หรือว่าที่คิดว่าท่านเป็นอรหันต์รึเปล่าไม่รู้นี่ ก็สำรวมจิตระวังแน่น 

แล้วพอเวลาเจอคนทั่วไปแล้วก็ด่าต่อ คิดว่า...ไม่เป็นไร กรรมมันเล็กน้อย ...นี่ ไม่ได้นะ ...มันต้องสำรวมจิตทุกขณะ ทุกบุคคลด้วย  วาจาด้วย กายด้วย 

เพื่ออะไร ...เพื่อให้มันอยู่ในกรอบศีล ไม่ละเมิดศีล ...จิตมันจะล่วงละเมิดศีล แล้วมันจะก่อเรื่องโดยใช่เหตุ ...มันนึกว่าสบาย นึกว่าสนุก นึกว่าสะใจ ...นั่นแหละ เอาเหอะๆ เดี๋ยวจะเจอผล 

มันไปสร้างภพไว้แล้ว รอชาติจะบังเกิดเท่านั้นเอง ... เมื่อเหตุปัจจัยพอดีกันเมื่อไหร่ ปึ๊บ ชาติบังเกิด นั่นแหละ ตามภพนั้นๆ ที่มันสร้างไว้รอ...จิตน่ะ ไปกระทำไว้เสร็จสรรพแล้ว มโนกรรม...สำเร็จ

เพราะนั้นในระหว่างวัน...ทุกวัน...ทั้งชีวิตนี่  จิตนี่สร้างมโนกรรมไว้...ไม่ถ้วนเลย ...เพราะเราอยู่ด้วยความเผลอเพลิน เพราะอยู่ด้วยความไม่รู้ตัว เพราะอยู่ด้วยความปล่อยปละละเลย 

เพราะอยู่ด้วยความที่ว่าตามอำเภอใจ ตามอำเภอความอยาก ความคิด ...พวกนี้ มันจะสร้างภพน้อย ภพใหญ่ ภพหยาบ ภพละเอียด ภพประณีต ภพอันเลว ภพอันดี ...เยอะแยะ

พอเหตุควรปรากฏ ...ปัจจุบันปรากฏด้วยเหตุอันควร บุคคลอันควร...พอดีกัน สังเคราะห์กันปึ้บ เสริมสวมได้กับภพไหนในจิต...ปัง ชาติบังเกิด อุปาทานชาติ อุปาทานขันธ์ ตรงตามเป็นปัจจุบันชาติปัจจุบันขันธ์เลย

นี่คือระบบ...ซึ่งไม่มีใครจัดการระบบนี้ ... นี่คือกฎ แต่เป็นกฎของธรรมชาติ นี่คือกฎของจักรวาล 

นี่คือกฎของสังสารวัฏกับผู้ที่อยู่ในสังสารวัฏ...จะต้องอยู่ภายใต้กฎนี้ โดยมิอาจก้าวข้าม มิอาจล่วงเกิน มิอาจเปลี่ยนแปลง มิอาจแก้ไข ด้วยอำนาจใดอำนาจหนึ่งเลย


(ต่อแทร็ก 11/13  ช่วง 2)


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น