วันจันทร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2560

แทร็ก 11/33 (3)


พระอาจารย์
11/33 (add560624A)
24 มิถุนายน 2556
(ช่วง 3)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 11/33  ช่วง 2

พระอาจารย์ –  เพราะนั้น การภาวนา ต้องหยุดความคิดให้ได้ หยุดด้วยการกลับมาอยู่กับกายที่มันนิ่งอยู่กับปัจจุบัน มันเป็นปัจจุบันธรรมอยู่ 

ตรงนี้...ก็ต้องต่อสู้ต่อกรกับจิตตัวเองนั่นแหละ ความคิดของตัวเองนั่นแหละ ความปรุงแต่งฟุ้งซ่านของตัวเองนั่นแหละ...ของ “เรา” นั่นแหละ

จน “เรา” มันสงบระงับ อยู่ในที่อันควร อยู่ในที่ที่เป็นศีลสมาธิปัญญามันตั้งอยู่น่ะ...คือปัจจุบัน

แล้วพอมันตั้งมั่นดีแล้วนี่ คราวนี้ มันก็จะมีกำลังที่จะเข้าไปต่อกรกับอำนาจของ “เรา” ที่มันยังยึดมั่นต่อขันธ์นี้อยู่ภายใน ...ทีนี้มันจะทนได้นานขึ้นแล้ว ด้วยการไม่คิดไม่ปรุง

มันก็สามารถทนกับทุกขเวทนาเหล่านั้น แล้วก็ดูความแปรปรวนไปมาของทุกขเวทนาเหล่านั้น มากขึ้นบ้าง น้อยลงบ้าง ตั้งอยู่บ้าง ไม่หายไปบ้าง ไม่ดับไปบ้าง

ก็ดู รู้ ด้วยความที่ว่า ไม่ถือสาหาความมันน่ะ ไม่เข้าไปถือสาหาความกับมันเพราะนั้น การที่จะเข้าไปดูรู้โดยไม่ถือสาหาความกับทุกขเวทนาในขันธ์นี่น่ะ

ทั้งที่ลึกๆ มันก็ยังมีความเป็นเราปวด เราไม่พอใจก็ตาม  แต่ไม่ถือสาความคิดนึกไปข้างหน้าข้างหลัง ...ก็เรียกว่าอยู่ด้วยอำนาจของมรรค ด้วยอำนาจของสมาธิในระดับหนึ่งแล้ว

แล้วจากนั้นน่ะ มันก็จะพอกพูนปัญญา รู้เห็นๆๆๆ  เห็นอาการที่มันเป็นแค่กองธาตุ กองขันธ์ กองเวทนา กองก้อนที่ไม่มีชีวิต ที่ไม่ใช่เป็นสัตว์เป็นบุคคล ที่ไม่ใช่เป็นเราของเรานี่

มันก็จะเห็นความเป็นจริงในระหว่างที่มันอดทน...ทั้งที่ลึกๆ มันยังเป็นเราทุกข์อยู่นั่นก็ตาม ...ปัญญามันก็จะทำงานอยู่ภายในตัวของมัน

ได้ผลมากน้อยไม่ต้องไปคาดหรอก ทำไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ มันก็จะพอกพูนปัญญาอยู่ภายใน ...เวลาเวทนามันเกิดขึ้น หรือว่าเวลามันจางคลาย สลาย ก็ดูรู้ไป

อย่างถ้ามันยังไม่ทันตายนี่ มันก็มีบางครั้งหายไป จะด้วยการกินยา ไม่กินยา อะไรก็ตามเถอะ ...พอเกิดมาครั้งหน้าครั้งใหม่ มันก็มีปัญญาสะสมจากที่เคยทำมาแล้วๆ มานี่

มันก็จะเจออาการซ้ำเดิมแหละ ไม่ต้องกลัวหรอก เวทนาขันธ์มันก็เป็นอย่างนี้แหละ เพียงแต่เปลี่ยนรูปลักษณ์ จากเป็นไข้ก็เป็นปวดเมื่อย ก็เป็นวิกลวิการในอวัยวะภายในส่วนใดส่วนหนึ่งขึ้นมา

มันก็เปลี่ยนแปลงไปมา แล้วแต่ว่าหมอเขาจะบอกว่าเป็นเพราะอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ว่ากันไป ...แต่มันก็คือเวทนาในกายนั่นแหละ ที่มันแปรปรวน ไม่เหมือนเดิม

ไอ้ที่เหมือนเดิมก็คือปกติ ธรรมดา สบายดี หรือว่าเฉยๆ มันก็เปลี่ยนแปลงขึ้นมา...ยังไงมันก็ต้องเปลี่ยน มันก็เป็นเวทนาที่มันเปลี่ยนแปลงในร่องเก่าของมันน่ะแหละ

ปัญญามันก็ใช้เหมือนเดิมน่ะ ก็มาตั้งมั่นแล้วก็มาพิจารณาขันธ์ตามความเป็นจริง ตั้งมั่นแล้วก็พิจารณาเวทนาตามความเป็นจริง ว่าเวทนาเป็นอะไร เป็นใคร

ก็เหมือนกับกายน่ะ กายเป็นอะไร กายเป็นใคร อย่างนี้ มันก็เห็นด้วยความเป็นกลาง มันก็พิจารณาด้วยความเป็นกลาง มันก็เกิดความใคร่ครวญในความปรากฏของขันธ์นั้นๆ ที่อยู่เบื้องหน้ามัน

อะไรที่ปรากฏชัดมันก็พิจารณาขันธ์นั้น เช่น กายปรากฏชัดมันก็พิจารณากาย เวทนาปรากฏชัดมันก็พิจารณาเวทนา มีจิตปรากฏขึ้นมาเป็นเราเป็นเขา มันก็พิจารณาจิตขึ้นมา

พิจารณาด้วยความเป็นกลาง ไม่ใช่พิจารณาด้วยความนึกคิด ...พิจารณาด้วยความเป็นกลางว่าคืออะไร จิตก็สักแต่ว่าจิต มันก็ไม่เข้าไปเป็นตัวเป็นตน เป็นเราเป็นเขากับเรื่องราวในจิต กับตัวจิต

จิตมันก็ดับ ก็จะเห็นเลยว่า ถ้ามันอยู่อย่างนี้ ตัวจิตนี่ มันไม่มีประโยชน์เลยน่ะ มันก็ดับ ...แล้วก็จะคงอยู่ได้ยืนพื้นเลย เป็นรูทีน เป็นพื้นฐานในกายกับเวทนาทุกข์ ที่มันทุกข์ อยู่แค่นั้น

จิตมันก็จะเกิดดับๆ จิตมันก็จะเห็นอาการของจิตที่เกิดดับ...แต่ไม่เอา ไม่เข้าไปจับความคิด ไม่เข้าไปเป็นความคิด ไม่เข้าไปเป็นเราเป็นเขาในความคิด ...จิตมันก็เกิดดับๆ อยู่ภายใน

เหลือแต่เวทนาที่มันไม่เกิดดับ ตั้งอยู่ คาอยู่อย่างนั้น กับกายที่มันคาอยู่อย่างนั้น...สองสิ่ง ...ตอนนี้มันก็จะเกิดความใคร่ครวญในกายกับเวทนานั่นน่ะ ซ้ำไปซ้ำมา วนไปวนมาอยู่ตรงนั้น

จนกว่ามันจะสะสมปัญญา มันก็จะค่อยๆ คลายจาก “เรา” ภายใน ที่มันยึดอยู่ภายในเป็น “เรา”...เป็นเราในปัจจุบันนั่นแหละ ...มันก็เข้าไปล้างความเป็นเราในปัจจุบันทีละเล็กทีละน้อยไป

เพราะนั้นไอ้ความเป็นเราในปัจจุบันนี่ มันไม่ใช่ว่าโสดาบันจะละได้นะ ไม่มีทางหรอก ...มันไปละเอานู่น พระอนาคามีนู่น...เราในกาย กายของเรานี่ ...ถ้าละจิตของเราก็นู่น พระอรหันต์น่ะ

แต่ว่าตราบใดที่รู้จักหรือรู้วิธีการในองค์มรรค ชัดเจนในองค์มรรค รู้วิธีจัดการกับ “เรา” ...นี่ เรียกว่ามีเครื่องไม้เครื่องมือที่หยิบมาใช้สอยได้ถูกกับลักษณะของการแก้การทำลายอย่างชัดเจนถ่องแท้ต่างหาก

เพราะนั้น เราจะต้องต่อกร...เอาศีลสมาธิปัญญาตัวนี้ แบบนี้ มาต่อกรกับ “ตัวเรา” นั่นแหละ ...ภายในคือปัจจุบัน ภายนอกก็แล้วแต่ว่ามันจะเจออะไร

เสียง กลิ่น รส การกระทำคำพูดของคน กระทบปึ้บ มันจะมีเรารับรู้ๆ มันจะทัน จะเห็น พอเห็น มันจะมีเรากับเสียง มีเขากับเสียง มันก็ละ ...ทันแล้วก็ดับ

“เรา” ตัวนั้นก็ดับ  “เรา”ในอดีตอนาคต ในความคิดก็ดับ ...มันก็จะเหลือแต่เรานั่งนอนยืนเดินอยู่อย่างนี้ มันจะเป็นเหมือนเชื้อไวรัสที่มันเกาะกระดูกอยู่อย่างนั้นน่ะ ลึก ๆ

อย่าไปคิดว่าโสดาบันแล้วมันจะละความเป็นเราได้ ไม่มีทางหรอก ...แต่ท่านรู้จักวิธีการจัดการกับ “เรา” ยังไง แล้วก็ไม่เข้าไปให้ “เรา” มันมีอำนาจในขันธ์ แค่นั้นเอง

คือไม่ให้ “เรา” มีอำนาจเหนือขันธ์ เหนือการดำรงชีวิตจนเกินไป...เกินถึงขนาดไหน ถึงขนาดพาให้เกิดทุกข์น่ะ ...แปลว่า พระโสดาบันนี่ ง่ายๆ คือทุกข์เกิด...ทุกข์ดับ ท่านเห็นเลย ท่านเห็นทัน

เพราะว่าทุกข์น่ะมันจะเกิดเพราะมี “เรา” ทุกข์ดับเพราะ “เรา” ดับ นี่ท่านเห็น ...เพราะนั้น การเกิดทุกข์ของท่านจะเห็นทัน แล้วก็รู้ เข้าถึงวิธีการดับทุกข์...จริงๆ ไม่ใช่ดับทุกข์...มันดับ “เรา”

ถ้าไม่มี “เรา” ก็ไม่มีทุกข์ ถ้าไม่มี “เรา” ก็ไม่มีสุข ...มันจะเกิดเป็นสุขเป็นทุกข์ได้นี่ เพราะมันมี “เรา” เป็นผู้รับผู้เสวย ...เพราะนั้นท่านจะค่อนข้างเท่าทันความเป็นทุกข์ภายในที่เกิดจาก “เราทุกข์ เราสุข” ขึ้นมา

แล้วท่านก็เห็นทัน แล้วก็รู้ว่าตรงเนี้ย...ตรงกายตรงรู้ปัจจุบันนี่ เป็นที่ๆ ปราศจากเราในอดีตเราในอนาคต เราทางรูปทางเสียงทางกลิ่นทางรส ...แต่ยังเหลือเราปัจจุบันอยู่นะ

แต่มันจะละทุกข์ตรงนั้นได้ก่อน ละทุกข์ภายนอกที่เกิดจาก “เรา” ที่ไปมีกับคนนั้นคนนี้ เราที่ไปมีกับรูปเสียงภายนอก ...ตรงนี้ท่านจะเท่าทัน...ค่อนข้างเท่าทัน

แล้วก็จะชำนาญขึ้นไปเรื่อยๆ เหมือนกับลิดรอนแขนขาโยงใยของ “เรา” น่ะ ได้ไว ได้ทันท่วงที ชำนาญขึ้น จนเหลือแต่เรายืนเดินนั่งนอนๆ อยู่กับปัจจุบันนี่

ก็อยู่ในศีล อยู่ในองค์ศีล  ศีลก็จะสมบูรณ์ขึ้น บริบูรณ์ขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับจิตที่มันสงบตั้งมั่นเป็นกลางขึ้นเรื่อยๆ ...ก็หมายความว่า “เรา” ในปัจจุบันก็น้อยลงไปเรื่อยๆ เหมือนกัน

แล้วมันก็จะชัดเจนในกายที่ไม่ใช่เรามากขึ้นเหมือนกัน นี่แหละคือพระอริยะขึ้นไปแล้วนี่ ท่านจะอยู่ในหน้าที่นี้ แต่ไอ้ความทะยานไปของจิตที่มันจะเป็นเราในอดีตอนาคตนี่ยังมีอยู่นะ

นี่ ยังพร้อมที่จะมี แล้วบางทีก็หลงไปจมไปแช่ด้วยความพึงพอใจก็มี ...นี่เขาเรียกว่ามันเกิดความประมาทเลินเล่อเผลอเพลิน...พระอริยะยังมี

เพราะว่าคนนั้นคนนี้เป็นญาติ คนนั้นคนนี้มันต้องเอาไว้ก่อน เป็นเพื่อน เป็นคนที่น่าเมตตา อย่างนี้ ...มันก็คาข้องอยู่ ก็ไปเป็นทุกข์อยู่ตรงนั้นโดยที่ว่ายังไม่ยอมถอน

แต่ถ้าเด็ดขาดลงไปแล้วนี่ ก็จะถอยถอนออกมา กลับมาอยู่กับปัจจุบันล้วนๆ ปัจจุบันกายปัจจุบันรู้ล้วนๆ ...ตรงนั้นน่ะ เรียกว่าเกิดการพากเพียรคร่ำเคร่งอยู่ภายในอย่างยิ่งยวด

จนถึงขั้นเป็นมหาสติ มหาสมาธิ มหาศีล ...จึงจะข้ามระดับขึ้นสู่อนาคามรรคอนาคาผล

แต่ของพวกเรานี่ ถ้าไม่ลงรากฐานปัจจุบันนี่ มันจะไม่เข้าสู่องค์มรรคได้เลย ...มันจะทะเยอทะยานไปตามอุปาทานขันธ์ในจิตหมดเลย

จิตนี่มันเป็นตัวสร้างอุปาทานขันธ์ ตัวเดียวที่สร้างอุปาทานขันธ์คือตัวจิต...จิตเรานั่นแหละ จิตคิดนึกปรุงแต่งนั่นแหละ

แล้วพอมันสร้างอุปาทานขันธ์แล้วนี่ ...ด้วยความคุ้นเคยที่มันอยู่กับอุปาทานขันธ์ ใช้อุปาทานขันธ์มาเป็นเครื่องชี้นำดำรงชีวิตอยู่นี่

โดยอนุสัยสันดานแล้วนี่ ...มันจะกลับมาอยู่กับฐานกายปัจจุบันไม่ได้เลย ไม่ยอมกลับ แทบจะไม่ยอมกลับ ไม่อยากกลับมาเลยน่ะ นั่นน่ะปัญหา

ถึงบอกว่าต้องกลับมาตั้งฐานให้มั่นก่อน ฐานกายในปัจจุบัน นั่น...เพราะนั้นเราไม่แนะนำให้ดูจิตเลย เพราะจะหลง...หลงได้ง่าย


(ต่อแทร็ก 11/34)




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น