วันพุธที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2560

แทร็ก 11/34 (1)


พระอาจารย์
11/34 (add560624B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
24 มิถุนายน 2556
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ  :  แทร็กนี้แบ่งการโพสต์เป็น  3  ช่วงบทความ)

โยม –  พระอาจารย์คะ แล้วอย่างถ้าสมมุติว่าเรายังดูแล้วมันยังแบบ...ดูได้เป็นขณะน่ะค่ะ

พระอาจารย์ –  เอ้า มันก็ต้องตั้งใจให้มันมากกว่านั้น มันอยู่ที่ความใส่ใจตั้งใจ ...ถ้ามันไม่พัฒนาขึ้นมาด้วยตัวของมันเอง มันก็ไม่มีทางพัฒนาสติให้มันมากขึ้นกว่านี้ได้

ถ้ามันไม่ตั้งใจขวนขวายน่ะ ด้วยความเพียร...ฉันทะ เข้าใจคำว่าฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ไหมล่ะ นั่นน่ะคืออิทธิบาท ๔ ...ถ้าไม่มีอิทธิบาท ๔ นี่ มันไม่มีทางพัฒนาสติสมาธิปัญญาให้มันเต็มที่ขึ้นได้เลย 

มันก็เหมือนกับน้ำที่บกพร่องไม่เต็มแก้ว แล้วถ้าไม่เติมลงไป มันจะเต็มมั้ยเล่า ...มันอยู่ที่ใครล่ะ ...ใครจะมาเติมให้ได้เล่า มันก็ต้องทำเองน่ะบอกแล้วต้องขยัน

เพราะนั้นเรื่องของกายนี่ อิริยาบถกายนี่ มันเป็นอะไรที่มันซ้ำซากในตัวของมัน ...หมายความว่ากิจกรรมหรือพฤติกรรมทางกาย ในหนึ่งวันนี่ ลองดูสิ มันมีพฤติกรรมซ้ำซาก

กิน ดื่ม อาบน้ำ แปรงฟัน ขี้เยี่ยว พวกนี้มันเป็นอิริยาบถซ้ำซากอยู่แล้ว ...ตั้งแต่เกิดมานี่ กินไปกี่ล้านมื้อแล้ว  ขี้เยี่ยวไปกี่ล้านครั้งแล้ว ใช่มั้ย ...แล้วก็ยังจะขี้เยี่ยวต่อ แล้วก็ยังจะกินต่อ อย่างนี้

มันไม่ใช่ว่ามันเป็นของที่ไกลตัว หรือเป็นของที่ว่าต้องดำดินบินบนถึงค้นหาเจอ  มันมีให้เห็นอยู่ทุกวี่ทุกวัน ...แต่คราวนี้ว่าทำไมถึงไม่เห็นเล่า มันไม่ตั้งใจน่ะๆ

อาบน้ำก็อาบน้ำทุกวัน กินก็กินทุกวัน ใช่มั้ย ซ้ำซากอยู่อย่างนี้ ...แล้วก็ยังเผลอเพลินอยู่อย่างนี้หรือ เอ้า ใครจะช่วยได้ล่ะ  จะมาหาอุบายไหน มันไม่มีอุบาย

มันอยู่ที่ตั้งใจรึเปล่า ตั้งใจขึ้นมารึเปล่าล่ะ เนี่ย เวลากำลังจะกิน...ก็ตั้งใจกิน ตั้งใจที่จะรู้ตัวระหว่างการกินให้ต่อเนื่องอย่างนี้ ...มันก็ต้องตั้งขึ้นมา

อาบน้ำอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าอาบลวกๆ กินก็กินลวกๆ กินตามความเคยชิน กินไปคุยไป กินไปคิดไป กินไปเพ้อเจ้อไป กินไปนึกถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปตามความเคยชินอย่างนี้...จิตน่ะ

ถ้าอย่างเนี้ยมันไม่สามารถจะพัฒนาขึ้นมาได้เลย ...แล้วก็ยังกินแบบ กินทิ้งกินขว้าง เข้าใจรึเปล่า ขว้างจิตขว้างใจออกทิ้ง ขว้างสติขว้างปัญญาอยู่ตลอดเวลา

กายเขาไม่ได้หายไปไหนนะ พฤติกรรมทางกายก็มีเหมือนเดิม แล้วก็จะต้องวนเวียนเหมือนเดิมอยู่อย่างนี้ ...ขี้เยี่ยวกี่ครั้งล่ะ เคยรู้สึกชัดเจนมั้ยในการเกร็ง การบีบรัด การขยับ การไหวน่ะ

หรือการกินอย่างนี้ แค่ห้านาทีสิบนาที กินมื้อหนึ่งนี่สิบนาที เอ้า ทำไม่ได้รึไง มันไปไหนกันล่ะ ...แล้วจะมาถามว่า ทำยังไงล่ะๆ ...จะทำยังง้าย ใช่มั้ย

กายมีอยู่แล้ว มีมาตั้งหลายสิบปีแล้ว ...จะไปหาสติที่ไหนเล่า จะไปหาสมาธิจากที่ไหนเล่า ใช่มั้ย ก็อยู่ตรงนี้ ของมันมีอยู่ต่อหน้าต่อตานี่ ...แต่ใช้ไม่เป็นน่ะ

แล้วก็ละเลยเกินไป ละเลย...มันละเลย มันคุ้นเคยกับกายนี้แบบลวกๆ เกินไป ...มันไม่เข้าไปตั้งสติจริงจังในการเฝ้ารู้ดูเห็นอากัปกริยาอาการของมัน

การกิน...แค่กระบวนการการกินนี่ ใครกินได้โดยที่รู้ตัวไม่ขาดเลยทุกขณะ...เก่ง ถือว่าเก่งมาก ...นี่ โดยที่ว่าไม่ผิดเพี้ยน ไม่คลาดเคลื่อนเลยแม้แต่อณูหนึ่ง

แล้วมันก็จะต้องกินทุกวันน่ะ มีให้ฝึกทุกวันน่ะ...อยู่ที่มันจะตั้งใจมั้ยล่ะ ...มันยากไง พอมันยาก มันทำได้สักพัก มื้อ-สองมื้อ วัน-สองวัน...ไม่เอาแล้ว ...อย่างนี้เขาเรียกว่าความเพียรไม่มี

ถ้าพระอริยะนี่ท่านมีความเพียร ...ไม่ได้วันนี้..พรุ่งนี้ต้องได้ พรุ่งนี้ไม่ได้..มะรืนต้องได้ มะรืนไม่ได้..อาทิตย์หน้าต้องได้ ...แล้วถ้ามันทำซ้ำๆๆๆ ซ้ำอยู่อย่างนั้น จนไม่ขาดตกบกพร่องเลยน่ะ

นี่ ไม่ขาดตกบกพร่อง แล้วก็ไม่ประมาทเลินเล่อเผลอเพลินอีกนะ ...เอามันจนชำนาญ ...พอชำนาญแล้วเขาเรียกว่าหลับตาเดินยังไม่หลง ...มันคล่องน่ะ

ซึ่งมันไม่ใช่แค่การกินนะ พอกินได้แล้วมันคล่องแคล่วว่องไว...สติมันฉับพลันทันที ชัดเจน ...แล้วก็ขยายออก ลุกจากที่นั่ง ล้างบาตร หมุนหัน เอื้อม หยิบจับกระโถน

สติดำเนินไปหมดน่ะ ...คราวนี้เชื่อมต่อ เดินขึ้นกุฏิ เอาบาตรไปวาง เช็ดบาตร ถูบาตร...ยาวเลย คราวนี้ยาวเลย ...เนี่ย มันอยู่ที่ความตั้งใจของคนนั้นๆ น่ะ

กายก็มีเท่ากัน เหมือนกัน กิจกรรมพฤติกรรม มีเท่ากัน เหมือนกัน  ไม่ได้มากไม่ได้น้อย ไม่ได้เก่งกล้ากว่ากันเลย ...แต่ว่าการอบรมจิต การอบรมสติสมาธินี่ ท่านมีสูง

ท่านมีความตั้งใจใฝ่ดีสูง ใฝ่อยู่ในศีล ใฝ่อยู่ในสตินี่มาก มากกว่าใส่ใจภายนอก ...เห็นความสำคัญตรงนี้มากกว่าความสำคัญภายนอก เช่นความสนุกในการกิน ความสนุกในการคุย ความสนุกในการคิด

นี่ ท่านให้ความสำคัญกับตรงนี้มากกว่าความสนุก ความน่าใคร่น่าพอใจทางอารมณ์ที่เคยเสพ เคยใช้ เคยมีเคยเป็นก็ดึงกลับมาอยู่กับฐานปัจจุบันได้ แล้วก็ปักหมุด...ตั้ง แล้วก็ปักหลักลงไป

เกิดการปักหลักปักหมุด ไม่ให้คลาดเคลื่อน ...แล้วท่านก็รักษาความไม่คลาดเคลื่อนอยู่ภายใน เป็นปัจจุบันกาย ปัจจุบันรู้ ปัจจุบันขันธ์ แล้วก็เป็นปัจจุบันธรรมอยู่ตลอดเวลาเลย

ทุกสิ่งทุกอย่างก็ชัดเจน แจ่มแจ้ง เหมือนกับกระจ่างในที่นี้...มันก็กระจ่างอยู่ในที่นี้ ไม่ใช่กระจ่างที่อื่น ...อะไรๆ มันเป็นอะไร มันเปิดเผยความเป็นจริงอยู่ที่นี้ 

นี่มันเห็นว่าอะไรเป็นอะไรกันแน่ ทุกอย่างกระจ่าง ณ ที่นี้ เคลียร์...เกิดอาการเคลียร์หมดเลย นี่เขาเรียกว่าวิสุทธิญาณบังเกิดขึ้นอยู่ ณ ปัจจุบันนั้นๆ

ปัญญาท่านไม่ได้เกิดจากการคิดค้นหรอก คิดค้นนี่เป็นแค่อุบายเท่านั้นเอง ...พอคิดจนดับ พอดับความคิดหมดแล้วนี่ คิดจนไม่รู้จะคิดอะไรแล้วนี่ ...มันจะหยุดเลย

มันจะหยุด...หยุดตรงนี้เลย แจ้ง...แจ้งทุกปัจจุบัน กระจ่างทุกปัจจุบัน ...ไม่ว่าอะไรนี่...ไม่มีอะไรไม่ชัด ไม่มีอะไรไม่เข้าใจ...ในปัจจุบันที่มันแสดงอาการ

ก็เห็นเลยว่าไม่มีอะไร ทั้งหลายทั้งปวงล้วนว่างเปล่า สามโลกธาตุล้วนว่างเปล่า เป็นอนัตตา ไม่มีตัวตนที่ชัดเจน ไม่มีตัวตนที่แท้จริง ไร้สภาพ...เป็นสภาวะที่ไร้สภาพ

เพราะนั้นสภาวะขันธ์ก็คือสภาวะที่เกิดดับแค่นั้นเอง ...สภาวะโลก สภาวะผัสสะ ก็เป็นสภาวะที่เกิดดับเท่านั้นเอง คือเป็นธรรมชาติหนึ่งที่เกิดดับเท่านั้นเอง

ไม่มีอะไร ไม่เป็นอะไรในธรรมชาติที่เกิดดับขณะหนึ่งๆ นั้น ...นั่นแหละ มันแจ้งในปัจจุบันทุกปัจจุบันอย่างนั้น จนไม่สงสัยในธรรมทั้งหลายทั้งปวง สัพเพธัมมา อนัตตาติ มันกระจ่างตรงนี้ ปัจจุบันนี้

แต่ถ้ารวมจิต รวมขันธ์ อยู่ในปัจจุบัน รวมกายอยู่ในปัจจุบัน เป็นพื้นฐานไม่ได้แล้วนี่...วุ่นวี่วุ่นวายหมด ...มัวแต่ไปภาวนาไปตั้งรู้ตั้งเห็นกับที่อื่น ไปอยู่ที่จิตบ้างที่อารมณ์บ้างๆ อย่างนี้ ที่อดีตบ้างที่อนาคตบ้าง 

จะไปตั้งอยู่กับมันทำไม...มันไม่มีความจริงหรอก มันเป็นแค่เรื่องราววูบวาบเท่านั้นเอง ...ต้องยึดต้องมั่นลงที่กายที่ศีลนี่แหละ ปักหมุดลงไปที่กาย อยู่กับกายนี่ 

รู้ตัวอย่างเดียวๆ แล้วมันจะเร็ว ...แล้วมันจะไม่สงสัยในที่ในธรรม ในจิต ในเรื่องราวในจิต ในคนนั้นคนนี้ ในคำพูดคนนั้นคนนี้ ...มันจะไม่สงสัยเลย 

พอมันเริ่มสงสัย กลับมารู้ที่กายปั๊บ...ขาด ...ต้องอย่างนั้นเลย ต้องเด็ดขาดกันเลย...เด็ดให้ขาด อย่าเยิ่นเย้อ แล้วมันจะแข็งแกร่งขึ้นๆ ...เหมือนกับเกลี้ยงเกลา ภายในมันจะเกลี้ยงเกลา เกาะไม่ติด 

เสียงมากระทบปุ๊บ พอจิตมันจะออกไปรับ จิตเราจะไปรับแล้วมาปรุงต่อ มันขาดๆๆ ...มันก็ไม่มีเรื่อง เรื่องเข้ามาไม่ถึงใจ มันก่อมันรวมตัวเป็นภพเป็นชาติไม่ได้ ก็ขาดๆๆๆ 

กายก็ทำหน้ารู้ทำหน้าที่เห็นไป ...เพื่ออะไร เพื่อทำลายความเป็นตัวเราในปัจจุบัน ในขันธ์ ที่มันยึดขันธ์เป็นเรา ยึดเราในขันธ์อยู่ ...ถ้าไม่ลงที่กายนี่ ไม่มีทางละเราในปัจจุบันได้เลย

เพราะจิต ความคิดความปรุงนี่ มันซัพพอร์ทเราในปัจจุบัน ...คิดไปทำไม...เพื่อให้ “เรา” เวลานั้นน่ะ สบาย มีความสุข  ถ้าไม่คิดก่อนแล้วเดี๋ยวไปเจอตรงนั้นแล้วจะทุกข์ เข้าใจมั้ย มันเลยต้องคิด

เพราะนั้นไอ้จิตที่มันมีได้ เพราะ “เรา” ในปัจจุบัน เข้าใจรึยัง ...ถ้ามันไม่มี “เรา” ในปัจจุบัน มันจะคิดไปหาพระแสงด้ามสั้นด้ามยาวทำไม...ไม่คิดหรอก

จิตจะหยุดความปรุงแต่งเลย เพราะมันไม่รู้จะซัพพอร์ทอะไร ...ถ้าไม่มี “เรา” ในปัจจุบันนั่งนอนยืนเดินนี่ ไม่มีหรอก จิตไม่ปรุงเลย

เพราะนั้นจิตน่ะมันเป็นปลายเหตุ เรื่องราวในจิตก็เป็นปลายเหตุหมด ...ทั้งหมดที่มันมีเรื่องราวไม่จบไม่สิ้นเพราะว่า มันต้องการให้ “เรา” นี่..."เรา" ตัวนี้  "เรา" ที่นั่งนอนยืนเดินนี่

เมื่อถึงเหตุการณ์นั้น เวลานั้น เจอคนนั้น เจอบุคคลนั้นๆ แล้วมันจะมีความสุข..."เรา" ตัวนี้จะมีความสุข "เรา" ในขันธ์นี่จะมีความสุข เมื่อถึงเวลานั้น เหตุการณ์นี้

แล้วมันจะคิดไปยังไงก็ได้สารพัด...ที่ว่าทำไมถึงไม่จบ ...นี่ ก็เพื่อให้จะตรงนี้ ความสุขที่เราจะได้นี่...เที่ยงที่สุด นานที่สุด ไม่หายไปไหนเลย

ถ้าไม่แก้ที่ “กายเรา” ในปัจจุบันนี่...แก้อะไรไม่ได้เลย ...ภาวนาก็ไม่ได้เรื่องราวอะไร ได้แต่เจอสภาวธรรมแปลกๆ ใหม่ๆ ได้แต่เจอสภาวะจิตแปลกๆ ใหม่ๆ ...ก็แค่นั้นน่ะ เกิดบ้างดับบ้าง 

แต่มันละ “เรา” อะไรไม่ได้เลย...เพราะมันไม่ได้เพื่อเป็นไปในการละ “เรา...ตัวเรา” เลย


(ต่อแทร็ก 11/34  ช่วง 2)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น