วันพฤหัสบดีที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2559

แทร็ก 11/18 (1)


พระอาจารย์
11/18 (560622B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
22 มิถุนายน 2556
(ช่วง 1)



(หมายเหตุ  :  แทร็กนี้แบ่งโพสต์เป็น  2  ช่วงบทความ)

พระอาจารย์ –  ให้ทุกคนนี่ตั้งใจฝึกหัดขัดเกลา ดัดนิสัย สันดานของตัวเอง...ที่มันจะทำไปพร้อมกับความไม่รู้ตัว ทำไปพร้อมกับความไม่รู้อยู่ภายใน

จนกว่าความรู้อยู่ภายในนี่มันจะชนะ ...ไม่มีอาการหลง เผลอ เพลิน หายห่างได้ แม้แต่อณูหนึ่ง

นั่นแหละ ขันธ์ทั้งห้าที่ปรากฏอยู่ จะไม่มีอะไรที่มันจะเล็ดลอดไปจากอาการรู้อยู่เห็นอยู่ได้เลย แม้แต่อณูหนึ่ง ปรมาณูธาตุหนึ่งของรูปและนาม ไม่ว่าจะเป็นรูปธาตุหรือนามธาตุที่ปรากฏ 

มันจึงจะพอที่จะเข้าถึงคำว่า...ความหมายว่า...รู้แจ้งแทงตลอดในกองขันธ์ ...จนหาสาระใดสาระหนึ่งในขันธ์ทั้งห้านี้ไม่ได้เลย ล้วนแล้วแต่เป็นอาการเกิดและดับ 

ม่มีความหมาย ไม่มีคุณค่าในขันธ์ห้า...พอที่จะให้เกิด “เรา” ...พอที่จะให้มี “เรา” ไปตั้ง ไปอยู่ ไปผูก ไปมัด ไปมี ไปเป็น...กับมันได้เลย

จึงจะเข้าถึงคำว่า...หลุดพ้นออกจากขันธ์ห้า..ด้วยปัญญา ด้วยความรู้ความเห็นที่เป็นญาณอันวิสุทธิ

นี่ ไม่ต้องถามถึงการเกิดการตายแล้ว ...มันจะไปอยู่ในที่ที่ไม่เกิดไม่ตาย  

มันจะไปอยู่ที่ใจ มันจะไปอยู่ที่ธาตุรู้ มันจะไปอยู่ที่อมตะธาตุที่ไม่เกิดไม่ดับ ไม่ไปไม่มา ไม่มีที่ตั้ง ไม่มีขอบเขต ไม่มีที่ประมาณ ไม่มีรูปลักษณ์ เหนือเกิดและดับ เหนือไตรลักษณ์ เหนือสามโลกธาตุ

ให้มันเห็นกายใจนี่เป็นของดีที่มีอยู่กับเนื้อกับตัว ...เหมือนเป็นตู้พระธรรม เหมือนเป็นตู้พระไตรปิฎก แล้วเปิดอ่าน...ด้วยการดู รู้ เห็น ศึกษาสำเหนียกภายใน...ไม่ท้อถอย

ความเข้าใจ ความรู้จริงตามความเห็นจริงๆ ที่ปราศจากความคิดความเชื่อใดๆ นั่นน่ะ ท่านเรียกว่ารู้จริงเห็นจริง ...มันก็จะพาให้เกิดความรู้แจ้งเห็นแจ้ง ในกองธาตุกองขันธ์ ทั้งรูปธาตุนามธาตุ ทั้งรูปธรรมนามธรรมนี้

ก็จะเห็นว่า กาย-ใจ ขันธ์ห้า เป็นเพียงแค่รูปธรรมกับนามธรรม อาศัยปรับเปลี่ยนหมุนเวียนสลับกัน ...ไม่ใช่ใครของใคร ...เป็นเพียงรูปธรรมกับนามธรรม 

เป็นเพียงธรรมชาติ...ที่เรียกว่าเป็นรูปบ้าง เดี๋ยวก็เป็นนามบ้าง สลับกันไปมา...โดยมีผู้ชักใยยืนโยงให้เกิดอาการรูปนามสลับไปมา...คือกรรมและวิบาก

ซึ่งเป็นผลจากความโง่ในอดีตของจิตเรา มันสร้างทิ้งไว้ ...มันไม่ใช่ของดีของวิเศษ มันไม่ใช่ของเลิศเลอล้ำค่าในภาษาโลกหรอก ...แต่มันล้ำค่าในการที่จะดำเนินไปในที่สุดขององค์มรรค 

จริงๆ มันเป็นผลพวงมาจากความโง่ของจิตของเราในอดีต ที่มันสร้างทิ้งไว้เป็นผล...ให้ต้องมายืน มาเดิน มานั่ง มาอยู่กับมัน ห้าหกเจ็ดแปดเก้าสิบปี หรือเท่าไหร่ก็ตาม

พระพุทธเจ้าท่านฉลาด ท่านมีปัญญา ท่านรู้ท่านเห็น  ท่านก็อาศัยกายนี่...ทั้งๆที่ว่ามันเป็นผลพวงจากความโง่ความไม่รู้ในอดีต ...แต่ท่านจับเอามันเป็นทางเดิน...ในการให้เกิดปัญญา 

เพื่อจะไม่ให้กลับมามี มาเป็นขันธ์ มาเป็นกาย มาเป็นที่ตั้ง มาเป็นที่ครอบใจได้อีกต่อไปโดยสิ้นเชิง

เพราะนั้น...อย่าเบื่อ อย่าท้อ ในการที่จะรู้เพียงแค่สิ่งเดียวกายเดียว ...แม้ว่าความรู้สึกมันอึดอัด มันคับ มันข้องขึ้นมา ...นั่นแหละ ถือว่าเป็นการแผดเผากิเลส 

มันเป็นตบะ...ที่มันเข้าไปแผดเผากิเลสให้เกิดความเร่าร้อนรุ่มร้อนในการที่จะทะยานไป ทะยานหา...ความรู้ก็ตาม เรื่องราวก็ตาม ความสนุกเผลอเพลินก็ตาม 

แล้วมันไม่ได้ไป มันถูกจำกัดให้รู้อยู่เห็นอยู่จำเพาะกายจำเพาะจิตเดียวรู้เดียว มันก็มีความเร่าร้อนภายในเป็นธรรมดา ...แต่ให้ถือว่ามันเหมือนกับเป็นการแผดเผากิเลสภายใน 

จนกว่ามันจะสงบร่มเย็นขึ้นภายใน เพราะอำนาจแห่งการแผดเผาด้วยขันติ...อดทน แล้วก็ตั้งมั่นที่จะรู้อยู่เพียงแค่สิ่งเดียว กายเดียว ปัจจุบันเดียว

เมื่อมันสงบร่มเย็นภายในแล้ว หมายความว่าสมาธิที่ควรแก่งาน คือควรแก่ปัญญาญาณจะเกิด ...จากนั้นไป การดำรงชีวิต การดำเนินชีวิตทุกอย่างเป็นไปด้วยปัญญา 

ไม่มีเป็นเรื่องของใคร ไม่มีเป็นทุกข์ให้ใคร ไม่มีเป็นทุกข์ของใคร มีแต่เป็นทางประเทืองปัญญาทั้งสิ้น ...นั่น ไปๆ มาๆ จากกายใจเป็นทางเดินของปัญญาไปแล้ว 

ต่อไปนี่สามโลกธาตุที่มากระทบสัมผัสกาย ก็เป็นทางของปัญญา ...ไม่ใช่เรื่องที่มาขัดขวาง ไม่ใช่เรื่องที่มาชักจูงให้หลงใหลเผลอเพลิน ไม่ใช่เรื่องที่มาทำให้เกิดอารมณ์หรือเกิดกิเลส 

แต่กลับเป็นเรื่องที่ทำให้เกิดการขัดเกลาอยู่ภายใน ...ทั้งตา หู จมูก ลิ้น กาย รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ...ล้วนเป็นทางปัญญาทั้งสิ้น 

ถึงตรงนั้นนี่ ปัญญามันไม่อับไม่จนแล้ว ...ทุกอย่างเป็นปัญญาหมด ปัญญามีอยู่เต็มสามโลกธาตุ

แต่ตอนนี้มองไปมีแต่เรื่องทุกข์สามโลกธาตุ มันไม่สามารถพลิกผันมาเป็นปัญญา...ถ้ามันไม่เดิน ไม่ฝึกอยู่ในองค์มรรคโดยตลอดและต่อเนื่อง

ศรัทธา ความเพียร...เพ่งอยู่ภายใน  เพ่งกายเพ่งใจตัวเองไว้ จนมันไม่เห็นความสำคัญในที่อื่น...นอกเหนือจากกายใจนี้ 

ไม่เห็นเรื่องราวในจิตสำคัญกว่ากายใจนี้ ไม่เห็นคำพูดการกระทำของบุคคลอื่นสำคัญกว่ากายใจนี้ ไม่เห็นอดีตอนาคตที่จะมาถึง หรือที่ดับไปแล้ว สำคัญกว่ากายใจนี้ ..มันเทียบค่าไม่ได้กับกายใจนี้เลย

การภาวนามันจะต้องเอาให้มันถึงจุดนั้นให้ได้ ...ซึ่งแรกๆ ก็ต้องทวน ก็ต้องฝืน ก็ต้องอดทน 

เพราะมันไม่ยอมเห็นความสำคัญของกายใจนี้มากกว่าเรื่องราวในการคิดการพูดของตน หรือการพูดการคิดการกระทำของคนอื่น ...มันมักจะไปให้ความสำคัญกับตรงนั้นมากกว่ากายใจนี้

ต้องภาวนาไม่ท้อถอย ...การละทุกข์ การออกจากทุกข์ การเหนือทุกข์ ยังไงมันก็ต้องทุกข์ ...ไม่มีหรอกภาวนาชาติไหนภพไหนที่มันจะไม่มีทุกข์ ไม่เกิดทุกข์ในการภาวนา 

ถึงบอกว่า “ขันติ” นี่สำคัญ ...ทนอย่างเดียว ...ให้มันตายไปเลย ให้มันเครียดจนตายไปเลย...ถ้ามันจะไม่พูด ถ้าจะไม่ต้องไปปรับทุกข์ให้ใคร ไม่ไปบ่นไปจ่มกับใคร 

ให้มันตายไปพร้อมกับความอยากนั่นน่ะ ...ดูซิ มันจะอยู่ได้มั้ย มันจะทานอำนาจของศีลสมาธิปัญญาได้มั้ย...กิเลสน่ะ มันแน่กว่ามั้ยล่ะ ...ใครมันจะแน่กว่า

อย่าตกเบี้ยล่างของมัน อย่าให้มันมานั่งขี่คอ นอนขี่คอ คอยชี้ คอยกำกับ คอยบงการ ...ไอ้ตัวกิเลสตัวใหญ่ก็คือหน้าเหมือนเราน่ะแหละ ...นั่นแหละ "เรา" นั่นแหละ (หัวเราะกัน) 

ไม่ต้องไปหาที่อื่นเลย โคตรกิเลสเลย...เรานั่นแหละ ...อย่าไปฟัง อย่าให้มันขี่คอชี้นำ ชี้นกก็ต้องเป็นนก ชี้ไม้ก็ต้องเป็นไม้ ชี้นกก็ให้เป็นไม้ ชี้ไม้ก็ให้เป็นนก มันชี้มันสั่งได้หมดเลย

ต้องเอาศีลสมาธิปัญญาเข้าไปแก้มัน ให้ศีลสมาธิปัญญามันเหนือกว่า ให้มันมีอำนาจเหนือกว่ากิเลสหรือความเป็นเรา ความอยากของเรา ความไม่อยากของเรา

ตราบใดที่ยังไม่ได้เข้าสู่โคตรภู ยังไงๆ ก็ยืนเดินนั่งนอนอยู่กับ "เรา" กันนั่นแหละ มันไม่หายไปไหนหรอก ...ก็ต้องทนกับมันไป 

มันก็คอยแสดงอาการ อย่างนี้ อย่างนั้น อย่างโน้น อย่างนู้น ตลอดเวลาอยู่ ...มันบงการอยู่ภายในจิตนั่นแหละ สร้างเรื่องสร้างราวเสมือนจริงเป็นจริง อยู่ในจิตนั่นแหละ

ถึงบอกว่าอย่าไปฟังมัน เดี๋ยว "เรา" มันก็ค่อยๆ หงอยเหงาไปเองน่ะ  เห็นมั้ย เวลาไปอยู่คนเดียวแล้วมันรู้สึกเหงา มันหงอย มันจะตายแล้วนั่นน่ะ...“เรา” จะตายแล้ว นั่น ที่รู้สึกว่าเราจะตายแล้ว มันเหงา

นี่ก็กลัวมันตายอีกต่างหาก ก็เลยไปหาอาหารการกินให้มัน...ด้วยการคุยๆๆๆ ... “เรา” ก็สดชื่นขึ้นมาเลย มีความสดชื่นเบิกบานอยู่ภายใน “เรา”  

ไม่ใช่เบิกบานในใจนะ ไม่ใช่เบิกบานด้วยผู้รู้ผู้เห็นนะ ...แต่มันเบิกบานใน “เรา” 

เพราะได้คุยแล้ว ได้เที่ยวแล้ว ได้ปรับทุกข์ ได้กระจายความทุกข์ให้คนอื่นเขารับรู้ ...เพื่อให้เขามายอมรับว่าเราทุกข์จริงๆ มีเพื่อนร่วมทุกข์ มีสุขร่วมเสพแล้ว สดชื่น สบายใจ 

มันก็ว่า "เราสบายใจ" ...แต่จริงๆ ใจเขาไม่เคยสบายหรือไม่สบายหรอก ... มันสบาย “กู” (หัวเราะกัน) สบาย “เรา” ต่างหาก เนี่ย  มันเป็นอย่างนั้นกัน

จริงๆ แล้ว ใจไม่มีคำว่าสบายหรือไม่สบาย...มีแต่รู้กับเห็น 

ใจไม่เคยเป็นทุกข์ ใจไม่เคยเป็นสุข ... ที่ว่าสุขว่าทุกข์นั่นน่ะ "เรา" นะ

ภาวนาให้มันได้ ...อยู่คนเดียวนานๆ ไม่พูดกับใคร ถามคำตอบคำ ทุกคำตอบ ทุกประโยค รู้ได้ตั้งแต่ ก่อนจะพูด กำลังพูด พูดเสร็จ ...นี่สติที่สมบูรณ์จะเป็นอย่างนั้น  

คำพูดก็จะสั้น แล้วก็ได้ถ้อยได้อรรถ ...ไม่ใช่ได้แต่พยัญชนะ ได้ข้อความ ไม่ใช่น้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรง มันไม่เป็นแกง มันจะเป็นแกงจืดไร้รสชาติไปเลย

เพราะนั้นถ้าพูดแบบมีสติ มันจะพูดเท่าที่มันจำเป็น ไม่เกินนั้น ...ถ้าเกินนั้นมันก็รู้ มันก็ละ...จิตน่ะ มันพล่าม เพ้อเจ้อ ...ครูบาอาจารย์หรือใครล่ะจะมาดัดสันดานตัวเองได้ 

แต่ศีลสมาธิปัญญา มันเป็นตัวดัดสันดาน “เรา” ...เพราะนั้น “เรา” ก็ไม่ค่อยเป็นอิสระในการคิด ในการไปการมาแล้ว ...นี่ มันก็เริ่มใกล้จะตายแล้ว 

ตายจากความรู้สึกเป็นเรา ตายจากความเป็นตัวเราลอยๆ ตายจากความเห็นอย่างมั่นคงแน่นหนาถาวรในความเป็นเรา นี่ ให้มันตายซะ...ในขันธ์นั่น

เพราะ "เรา" มันจะตายด้วยอำนาจของศีลสมาธิปัญญาเท่านั้น ...ไม่มีทางตายด้วยวิธีอื่นเลย  

ไอ้ตายวิธีอื่นเขาเรียกว่ามันตายหลอกๆ ไม่ตายจริง ...การภาวนาอย่างที่เคยทำมา มันก็เป็นการภาวนาหลอกๆ ไม่ได้เข้าไปทำให้ "เรา" นั้นตายจริงๆ 

กลับมีการแอบอ้าง แอบไปป้อนอาหารให้มัน คอยให้มันไม่ชูหางชูหัวขึ้นมา เผยอขึ้นมา อวดดีอวดเก่งขึ้นมา อวดรู้ อวดโง่นั่นแหละ

ถึงว่าเป็นการภาวนาหลอกๆ ไม่ใช่ภาวนาจริงๆ ...มันยังภาวนาแบบตามตำราบ้าง ภาวนาแบบเขาบอกให้ภาวนากันอย่างนั้นอย่างนี้บ้าง 

มันไม่ภาวนาด้วยมรรค มันไม่ได้ภาวนาด้วยศีลสมาธิปัญญาจริงๆ ...ผลที่ได้มันก็แตกต่างกัน


(ต่อแทร็ก 11/18  ช่วง 2)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น