วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2559

แทร็ก 11/22 (1)


พระอาจารย์
11/22 (560722C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
22 กรกฎาคม 2556
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ  :  แทร็กนี้แบ่งโพสต์เป็น  3  ช่วงบทความ)

พระอาจารย์ –  ทุกครั้ง...ให้มันได้ทุกครั้ง ให้มันได้ทุกเวลา...จนมันไม่มีเวลา 

กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวไว้ ...สร้างรากฐานไว้...ของศีล ของสติ ของสมาธิ...ฐานกายฐานใจนั่นแหละ ...ต้องกลับมาอยู่ตรงฐานนี้..มากๆ 

อย่าให้มันอยู่นอกฐาน อย่าให้มันไปอยู่กับความวุ่นวี่วุ่นวาย อย่าให้มันไปอยู่บนความสงสัยลังเล อย่าให้มันไปอยู่กับภายนอก ...ให้มันมาอยู่กับฐาน

คือฐานกาย คือปัจจุบันยืนเดินนั่งนอน นั่นแหละคือฐานกาย...แล้วก็ฐานรู้ เป็นฐาน ...ฐานรู้นี่ก็คือการระลึก ฐานของสติที่สร้างการระลึกรู้ ...อยู่สองฐานนี่ 

สร้างฐานให้มันมั่น ให้มันแน่น ...ย้ำให้แน่น ให้มันแน่น  ถ้ามันแน่นแล้วมันจะแข็งแรง  ถ้ามันแข็งแรงก็หมายความว่า มันก็ไม่แตก ไม่บิ่น ไม่กร่อน ไม่เปราะ ไม่อ่อนยวบยาบ

เข้าใจคำว่ามันแน่นมั้ย ...ถ้ามันย้ำบ่อยๆ มันก็แน่น ... รากฐานมันแน่นเมื่อไหร่แล้วนี่ อะไรมันก็เข้ามาทำความสั่นคลอนไม่ได้

แต่ถ้ารากฐานนี้มันไม่แน่น เดี๋ยวพอไอ้นั่นไอ้นี่นิด ก็ไป...กายหายใจหายแล้ว หลงลืม ลืมเนื้อลืมตัว  คนนั้นพูด คนนี้ทำ  คนที่ชอบพูด คนที่ไม่ชอบพูดหรือทำ ...แค่เนี้ย กายใจหายแล้ว

ไปอยู่ตรงนั้นแล้ว ไปอยู่ในเรื่องราวนั้นแล้ว ไปเกิดในเรื่องราวนั้นแล้ว ไปเป็นในเรื่องราวนั้นแล้ว ...แล้วคราวนี้ล่ะยาว..ยาวตามอำนาจโยงใยของกิเลสความอยาก-ความไม่อยาก

คราวนี้ก็เหมือนกับรากแขนงรากฝอย...แตกกระจัดกระจาย ไปได้ถึงโคตรพ่อโคตรแม่มันเลย แทนที่จะโกรธกับไอ้คนพูดนั่น มันได้ถึงพ่อแม่ยังได้นะ ได้ถึงโคตรมันเลยด้วยซ้ำ


โยม –  แต่ถ้าเราคลุกคลีตีโมงจะไม่ค่อยดี สติไม่แน่น

พระอาจารย์ –  ก็บอกแล้ว นั่นแหละมันมีแต่ช่องทางไหลออก ...แต่การที่อยู่คนเดียวนี่ มันมีแต่ช่องทางไหลเข้าเสียมากกว่า

ถึงบอกว่า...โง่นะเนี่ย ที่มีครอบครัว (หัวเราะกัน) ...แล้วมันเหมือนกับติดกับดักน่ะ แล้วมันต้องติดกรงขังน่ะ ของลูกบ้าง ของผัวบ้าง เอ้า เพื่อนของลูกก เพื่อนของผัวอีก ใช่มั้ย

แล้วกว่าจะออกได้นี่ ...พอเข้าไปมีแล้วนี่ จะออกก็ออกไม่ได้  เพราะมันเกิดความอาวรณ์ มันเกิดความผูกพัน...ไอ้นั่นก็ลูก ไอ้นี่ก็ผัว หยิกเล็บก็เจ็บเนื้อ

มันของของกูทั้งนั้นน่ะ ...จะละก็ไม่กล้าละแล้ว จะทิ้งก็ไม่กล้าทิ้ง  เกลียดก็เกลียดมัน เบื่อก็เบื่อมัน อะไรอย่างนี้ ...เห็นมั้ยว่า นี่ เสวยวิบาก ของความไม่รู้ ไม่มีปัญญา 

ทีนี้ทำยังไง ...ก็ต้องทนเอา ก็ฝึกไปท่ามกลางมรสุมนั้นน่ะ ...มันก็ไม่ใช่ว่ามันเป็นช่องว่างหรือช่องที่มาตัดรอนแต่ประการใดโดยเด็ดขาดหรอก  มันมีมรสุม มีคลื่นลม ก็พยายามประคองเรืออย่าให้ล่ม

การประคับประคองเรือไม่ให้ล่ม นั่นมันก็คือการหมั่น ขยัน ...แม้มันจะยาก แม้มันจะลำบากก็ต้องทำ ไม่ทิ้ง สร้างความรู้ตัวไว้ ระลึกรู้...ไม่ลืมเนื้อลืมตัวไว้

จนฐานสติ ฐานศีล ฐานสมาธิ มันแข็งแรงขึ้นมาน่ะ ...ทีนี้มันง่าย เหมือนเรือใหญ่ เดินในมหาสมุทร ไม่กลัวคลื่นลม

ไม่งั้นก็เป็นแค่เรือแจว หรือเรือรั่วๆ ...ยังไม่ทันเจอคลื่นลมแบบสลาตันหรือใต้ฝุ่นเลย แค่ลมพลิ้ว คลื่นมากระฉอกๆ ก็ล่มแล้ว เนี่ย มันเป็นอย่างเนี้ย มันเป็นกันอย่างเนี้ย

แล้วก็ไม่ใส่ใจ ไม่ตั้งใจ...ที่จะดามเรือ หรือว่าต่อเรือให้มันแข็งแรงขึ้น ...ก็รู้ว่ามันรั่ว ก็ยังอยู่กับเรือรั่วๆ อย่างเนี้ย มันโง่หรือมันฉลาดล่ะ


โยม –  เป็นกรรมใช่มั้ยคะ

พระอาจารย์ –  ไม่กรรมน่ะ ...มันขี้เกียจ


โยม –  เขาว่ากันว่าเป็นกรรมมั้ง ...มันไม่ใช่หรือคะ

พระอาจารย์ –  ไม่ใช่น่ะ อย่าไปโทษกรรมอย่างเดียว ...มันขี้เกียจ


โยม –  เห็นบางคนเขาเป็นอะไรกัน เขาบอกมันเป็นกรรมมั้ง

พระอาจารย์ –  คือถ้าจะปล่อยให้ไปตามอำนาจกรรม หรือว่าโทษเรื่องของกรรมอย่างเดียวนี่ ...ก็เรียกว่าใช้ชีวิตไปตามยถากรรม

ไปตามยถากรรมยังไง ...เคยเห็นผักตบชวามันลอยตามน้ำมั้ย แล้วน้ำมันจะพัดขึ้นฝั่งไหนล่ะ รู้มั้ย...ไม่รู้

ก็แล้วแต่ว่าน้ำมันจะขึ้นหรือลงน่ะ แล้ววันนี้จะแรงหรือเบาล่ะ แล้วมันจะขึ้นฝั่งไหนนี่  ใครจะไปรู้ ผักตบกอนี้ ...แล้วแต่อำนาจของกระแสน้ำ เอ้า นี่เขาเรียกว่ายถากรรม

เพราะนั้น กุศลจะพัดพาไปยังไง อกุศลจะพัดพาไปยังไง ก็อย่างนั้นน่ะ เลือกไม่ได้ ...ก็ปล่อยไปตามยถากรรม แล้วก็ขึ้น-ลงๆ ไปตามกระแสน้ำมันจะพัดพาไป ...อยู่อย่างนี้ ไม่ไปไหนหรอก

แต่ถ้าตั้งใจภาวนาแล้วนี่ มันจะอยู่เหนือกรรม ไม่ใช่ไปตามยถากรรม ...คือมันสามารถที่จะควบคุมกรรม การกำหนดวิถีกรรม หรือว่าหยุดการกระทำสร้างกรรม

พอมันหยุดการกระทำหรือว่าหยุดการสร้างกรรมแล้วนี่ มันจะไม่เป็นไปตามยถากรรมแล้ว ...มันเหนือ...มันเหนือบุญเหนือบาป มันเหนืออำนาจบุญอำนาจบาปจะชักลากไปแล้ว

นี่ เขาเรียกว่ามันทวนกระแสน้ำได้ ทวนกระแสกรรม เหมือนทวนกระแสกรรม ...แล้วมันก็ไม่ไปสร้างกระแสของกรรมให้มันเชี่ยวกราก

ไอ้ที่มันทวนไม่ได้เพราะเรามัวแต่สร้างกระแสกรรมให้มันเชี่ยวกราก...ด้วยความไม่รู้เนื้อไม่รู้ตัว ด้วยการกระทำ ด้วยเจตนา ด้วยความมุ่งไปทางดีทางร้าย

ดีก็เป็นกรรม ร้ายก็เป็นกรรม ... ดีก็เป็นกุศล ร้ายก็เป็นอกุศล ...มันมีผลทั้งคู่น่ะ 

มันก็คือกระแสที่มันหลาก สร้างความแรงของกระแสน้ำ ...ถ้ายิ่งสร้างแรงขึ้นเท่าไหร่ กรรมก็ยิ่งมีกระแสแรงขึ้นเท่านั้น  ทีนี้ทวนยากแล้ว ...จะทวนยาก


โยม –  จะไปอยู่ที่ไหนคะ ชีวิตอย่างนี้ หรือต้องไปบวช

พระอาจารย์ –  ไม่อ่ะ ...อย่าไปเชื่อจิต อย่าไปเชื่อความคิดของตัวเอง ...ให้เชื่อศีล ...อยู่กับปัจจุบัน ไม่ว่าปัจจุบันนั้นจะระกำลำบากขนาดไหน เลือดตากระเด็นขนาดไหน ...ก็ถือตรงนั้นน่ะเป็นปัจจุบัน

เข้าใจคำว่า U-TURN มั้ย  … U-TURN ตรงนี้  อย่าไปรอ U-TURN ข้างหน้านะ ...ต้องรู้ตรงนี้ๆ ตอนนี้  ...อย่าไปรอตอนมันหายระกำลำบากแล้ว

คือไปรอ U-TURN ตอนนั้น หรือ U-TURN ตอนที่ถนนมันว่างข้างหน้านู้น ...เมื่อไหร่มันจะถึง  ดีไม่ดีรถชนตายหรือคว่ำตายก็ได้ ใครจะไปรู้เล่า

จะไปรอว่าเคย U-TURN ตอนนั้นแล้วมันได้น่ะ หรือถนนมันว่างตอนนั้น ...แต่ตอนนี้ U-TURN มันมีตลอด


โยม –  ทดลองถูกไปก่อนเนอะ

พระอาจารย์ –  ผัดวันประกันพรุ่ง ...แล้วไอ้การผัดวันประกันพรุ่งนี่ ก็จะมีคำพูดหรือคำอ้างแบบสวยหรูว่า...เออ มันเป็นไปตามกรรมนะ

"เพราะกรรมชั้นน่ะให้ชั้นเป็นอย่างนี้ แล้วให้ต้องมามีลูกมีผัว ให้ต้องมามีเรื่องมีราว ให้ต้องมามีคนรักคนชัง มีภาระ มีธุระ รายรอบล้อมตัวเลย วางก็ไม่ได้ ปล่อยก็ไม่ออก จะปล่อยก็กระไรอยู่"

แล้วก็อ้างว่า...เนี่ย เป็นวิถีที่เลี่ยงไม่ได้ ก็เลยต้องปล่อยไปตามยถากรรม ...เขาเรียกว่ามันไม่รู้จัก U-TURN 

จะไปรอให้มันหมดภาระ ...เมื่อไหร่มันจะหมด หือ รอให้เกิดชาติหน้าหรือ หรือเกิดมาชาติหน้า...กว่าที่มันจะมาได้ยินได้ฟัง มันก็ทำอะไรอีกเป็นขยะกองโตรอบตัวเลยน่ะ

พอถึงเวลานั้น ครึ่งอายุน่ะ สมมุติสี่สิบห้าสิบมาฟังธรรม ก็ว่า “สร้างกรรมมาเยอะ แก่เกินไป บารมีไม่มี ถ้ามีก็ไม่รอมาถึงป่านนี้ จะห้าสิบหกสิบกว่าแล้วนี่ถึงมาเริ่มปฏิบัติ คงไม่ทันแล้ว”


โยม –  จริงๆ แล้วตัดสินใจได้ตลอดเลยใช่ไหมคะ

พระอาจารย์ –  ก็บอกแล้วว่าอย่าอ้าง ...ศีลมีอยู่ตรงนี้ สมาธิก็มีอยู่ตรงนี้ ปัญญาก็เกิดอยู่ตรงนี้ สติก็ทำได้ตรงนี้ ...เข้าใจรึยัง ไม่ใช่ว่าไปทำข้างหน้า

ธรรมเป็นเรื่องปัจจุบัน การปฏิบัติเป็นเรื่องของปัจจุบัน ...ไม่ใช่อยู่ที่วัด ไม่ใช่รอให้แปลงเพศ จากเพศมีหัวมีผม...ก็โกนผมจะได้แปลงเพศเป็นนักบวชแล้วภาวนาได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย

ถ้าไม่ได้บวชแล้วมันก็เลยไม่กล้าภาวนาเลยงั้นซิ ...ก็ถ้าไม่โกนหัวแล้วมันภาวนาไม่ได้รึไง ถ้าไม่ได้นุ่งขาวห่มขาว นุ่งดำห่มขาว นุ่งขาวห่มดำ แล้วมันภาวนาไม่ได้รึไง


โยม –  ไปได้ยินแม่ชีคนหนึ่ง เขาก็บอกว่า การปฏิบัติธรรม ถ้าไม่มาอยู่ที่วัด ไม่มีทางจะทำได้สำเร็จหรอก ได้ยินกับหูที่เขาย้ำน่ะค่ะ เราก็อยากค้าน เขาจะหาว่าสงสัยอีกแล้ว มีอะไรก็ค้านตลอด ก็เลยนิ่งๆ

แล้วก็ท่านก็ทัก...อย่างนี้ ต้องโกนหัวนะ ต้องมาบวช  ..ก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ก็มีความรู้สึกว่าต้องบวช ต้องบวชนะ อะไรอย่างนี้ ซึ่งตอนนั้นอารมณ์มันไม่มีนะคะ ก็ยังไม่คิดที่จะเข้าไป

พระอาจารย์ –  บวชภายนอกเอาไว้หลอกคน บวชภายในนี่ เอาไว้เข้ามรรคและผล ...ไม่ใช่ว่าบวชภายนอกแล้วมันจะบวชภายในกันด้วยนี่ และไม่ได้หมายความว่าบวชภายในแล้วจะต้องบวชภายนอก

เพราะนั้นมันต้องเข้าใจความหมายของคำว่าบวช...ใจนี่ มันจะต้องบวช  ...การบวชที่ว่าต้องโกนหัวโกนผมนี่ การบวชใจก็ต้องโกนเหมือนกัน

โกนสิ่งที่มันรกอยู่ภายในออก โกนความคิด โกนอดีต โกนอนาคต โกนอะไรก็ตาม ที่มันยืดออกไปจากปัจจุบัน นั่นน่ะบวช ...โกนมันซะ ให้มันเกลี้ยงเกลา ...ปลง...เขาเรียกว่าปลงผม 

ก็ปลงสิ่งที่มันยืดเยื้อออกมา เป็นความคิดบ้าง เป็นอารมณ์บ้าง เป็นอดีตบ้าง เป็นเรื่องราวคนนั้นคนนี้บ้าง ...พวกนี้คือสิ่งที่มันยืดยาวออกมาเหมือนผมน่ะ แต่ว่ามันเป็นผมที่ใจ ...โกนซะ ละซะ ตัดซะ 

ไม่ไปปลูกผม ไม่ไปใส่น้ำยาเร่งผม ไม่ไปทำผมดำให้เป็นผมหงอก หรือทำผมหงอกให้เป็นผมดำ เนี่ย มันแก้นะ มันแก้...แก้อยู่ภายใน คอยแก้จิต คอยแก้เรื่องราว คอยแก้สิ่งที่มันจะเปลี่ยนแปลงไป

เอาง่ายๆ โกนทิ้งเลย...จบ ...ทีนี้อยากรักษาผมไว้ก็รักษาไปสิ ข้างนอก..จะย้อมผมก็ย้อม ทำไปเหอะไม่ว่ากัน ...แต่ถ้ามันโกนข้างในอยู่ตลอดแล้ว ไม่มีใครจับผิดได้หรอก

แต่ไอ้พวกที่โกนข้างนอกแล้วแต่ไม่โกนข้างในเลยนี่ เราก็ไม่รู้เขานะ ว่าเขาบวชใจรึเปล่า เห็นมันสึกเอ๊าสึกเอาน่ะ เห็นมันรวยเอ๊ารวยเอา (โยมหัวเราะกัน) ...นั่นแหละ มันบวชข้างนอก มันไม่บวชข้างในน่ะ 

เพราะนั้น พวกเราจะไปเลียนแบบทำไม ...ถ้าจะเลียนแบบก็ต้องเลียนแบบที่...มันยิ่งบวชยิ่งจน ยิ่งบวชยิ่งไม่มีตัวตนของเรา ยิ่งบวชยิ่งไม่มีชื่อเสียงลาภยศ ...นี่ ถ้าบวชใจแล้วจะเป็นอย่างนั้น 

ยิ่งบวชแล้วเหมือนกับคนสิ้นไร้ไม้ตอก ยิ่งบวชแล้วเหมือนกับไม่ต้องพึ่งกับอะไรเลย ...คืออะไรจะเข้ามาเกาะเกี่ยว เข้ามาติด เข้ามารั้ง เข้ามาดึง เข้ามาเพิ่มมาผุด นี่ ...มีแต่ละออก 

นี่บวชจริงๆ นะ นักบวช...ถ้าผู้ที่บวชใจจะเป็นอย่างนี้  ...ไม่ใช่บวชหลอกมนุษย์ หลอกสายตามนุษย์

เพราะนั้นที่บวชกันมาก็มีหลายอย่าง ...บวชหนีเมีย บวชหนีหนี้ บวชหนีงาน บวชหนีทุกข์ หาเรื่องบวชได้หมดน่ะ แต่ว่ามันไม่ได้บวชเพื่อมาทำความรู้ทำความเข้าใจ เพื่อสละละวาง

เพราะนั้นพวกเราก็บวชได้ บวชตลอดเวลา...บวชใจบวชจิต  ปลง ละ วาง...ความคิดซะ ...คือเคยคิดสักโยชน์นึงเนี่ย ก็ให้มันเหลือสักกิโลนึง แล้วจากกิโลนึงก็ให้เหลือสักสิบเมตร

จากเหลือสิบเมตรก็เหลือสิบเซ็น จากสิบเซ็นแล้วก็เหลือหนึ่งมิล จากหนึ่งมิลแล้วก็...ไม่คิดเลย ...มันก็ต้องอย่างนี้ เรียกว่าบวชไหมเล่า


มันลดลงไหม มันปลงไหม มันทำให้สั้นลงไหม ...อย่าให้มันยืดยาวออกไป รุงรัง หนวดเครารุงรัง ผมเผ้ารุงรัง เนี่ย เป็นภาระ สังคะตัง ขี้รังแค แตกปลาย รุงรังไปหมด


(ต่อแทร็ก  11/22  ช่วง 2)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น